Contenu connexe
Similaire à 9789740328667
Similaire à 9789740328667 (20)
Plus de Chirawat Wangka (7)
9789740328667
- 1. บทที่ 1 1
บทที่ 1
¡ÒÃÈÖ¡ÉÒÇѲ¹¸ÃÃÁ¾Ø·¸ÈÒʹÒ
à¶ÃÇÒ·ã¹»ÃÐà·Èä·Â
- 2. ความสําคัญของการศึกษาพุทธศาสนาเชิงปฏิบัติ
2
หนังสือเลมนี้ใชแนวทางการศึกษาชาติพันธุวรรณนา เพื่ออธิบายถึงพลวัตของวิถี
ปฏิบัติทางพุทธศาสนาในกลุมคนชาติพันธุไทย-ลาวที่มีถิ่นฐานอยูในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย (หรอททราบกนโดยทวไปวา “คนไทยอสาน”) โดยใหความสาคญกบขอมลเชง
ื ี่ ั ั่ ี ํ ั ั ู ิ
ประวัติศาสตรของการกอตั้งชุมชนและกระบวนการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมภายในชุมชน
รวมถึงสภาพแวดลอมวิถีชีวิตของชาวบานในชุมชน การศึกษาวิเคราะหไดใชขอมูลจากการ
ศึกษาทางมานุษยวิทยาอยางเขมขนในหลายหมูบานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หรือภาค
อีสาน) ตั้งแต พ.ศ. 2526 จนถึง พ.ศ. 2542 รวมถึงขอมูลบางสวนจากการศึกษาภาคสนาม
เปนระยะ ๆ ในสาธารณรฐประชาธปไตยประชาชนลาว ตงแต พ.ศ. 2532 ซงเปนขอมลทนามา
ั ิ ั้ ึ่ ู ี่ ํ
ใชวเคราะหเปรียบเทียบวิถชวตของกลุมคนชาติพนธุไทย-ลาว รวมถึงวิถปฏิบตทางพุทธศาสนา
ิ ีีิ ั ี ั ิ
และความเชื่อตาง ๆ ในภูมิภาคนี้
กลุมคนชาติพันธุไทย-ลาวในภาคอีสาน เปนกลุมคนไทยพุทธที่ไดสรางอาณาจักร
ทางศาสนาอยางเปนพลวัต ศาสนาที่พวกเขายึดถือปฏิบัติไดผานกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่
เกยวของกบการบกเบกผนปาเพอการเพาะปลกขาวและการตงชมชนหมบาน รวมถงเกยวพนกบ
ี่ ั ุ ิ ื ื่ ู ั้ ุ ู ึ ี่ ั ั
วิถีการดําเนินชีวิตของชาวบานอยางใกลชิด ทามกลางความตื่นตัวของกระแสการเปลี่ยนแปลง
แบบโลกาภิวัตนที่รุกลํ้าเขามาในวิถีชีวิตแบบชุมชนหมูบาน ความเชื่อทางศาสนาในวิถีชีวิต
ประจําวันของชาวบานหลายประการไดถูกกลืนและสูญหายไปจากที่เคยเปนวิถีปฏิบัติของ
ชาวบานมาแตอดีต ทั้งนี้วิถีปฏิบัติทางศาสนาของชาวบานมีรากฐานสําคัญมาจากความรูและ
ประสบการณที่ไดรับจากวิถีการดําเนินชีวิตทางโลกแบบทองถิ่น ยิ่งไปกวานั้นพุทธศาสนาใน
ฐานะที่เปนศาสนาหนึ่งในโลกที่มีขอบขายกวางกวาความเปนชาติพันธุและเชื้อชาติ ไมไดเพียง
ประกอบขึ้นจากความรูหรือการตีความจากตําราคําสอนทางศาสนา แตไดประกอบขึ้นจากวิถี
ปฏิบัติที่เปนอยูในแตละพื้นที่และแตละชวงเวลา ซึ่งสอดคลองกับความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ
ของสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยูและตายไปในผืนปาและสังคมหมูบาน ในบริบทที่กลาวถึงนี้ผืนปาที่อยู
รายลอมชุมชนหมูบานถูกมองเสมือนตัวแทนของปรโลก (หรือโลกแหงวิญญาณ) ที่มีอํานาจ
และมอทธพลเหนอวถชวตของชาวบานในชมชน ซงรวมถงอทธพลจากสภาพแวดลอมทางสงคม
ีิ ิ ื ิีีิ ุ ึ่ ึ ิ ิ ั
การเมือง และเศรษฐกิจของทั้งระบบเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก
หนงสอนพยายามจะศกษาตรวจสอบขอเทจจรงในวถปฏบตทางศาสนา โดยใหความ
ั ื ี้ ึ ็ ิ ิี ิ ั ิ
สาคญกบเงอนไขทางสงคมของวถปฏบตและวถชวตของคนในชมชน มากกวาประเดนแนวคดที่
ํ ั ั ื่ ั ิี ิ ั ิ ิีีิ ุ ็ ิ
- 3. นําเสนอในตําราคําสอนทางศาสนา ดังเชนทีมการศึกษาเกียวกับศาสนาฮินดูในภูมภาคเอเชียใต
่ ี ่ ิ
แนวทางการศกษานตองการนาเสนอใหเหนความแตกตางทชดเจนระหวางตาราคาสอนศาสนา
ึ ี้ ํ ็ ี่ ั ํ ํ 3
กับวิถีปฏิบัติในชีวิตประจําวัน ดวยการใชแนวทางการศึกษาทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา
ที่ศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาเถรวาทในภูมิภาคเอเชียอาคเนยในชวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งการศึกษาเหลานี้สวนใหญมีเปาหมายที่จะบูรณาการประเด็นความเชื่อทางพุทธศาสนาที่มี
วัดเปนศูนยกลางผสมผสานกับความเชื่อทองถิ่น ที่มักจะเกี่ยวของกับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทังหลายในหมูบานชนบท อยางไรก็ตาม เราตองรับรูและเขาใจในเบืองตนวาวาทกรรมสวนใหญ
้ ้
ในการศึกษาเหลานี้ ไมวาจะเปนการศึกษาทางมานุษยวิทยาหรือสังคมวิทยาชนบทลวนอยูบน
สมมุติฐานเบื้องตนของ “ศาสนา” หรือ “พุทธศาสนา” ในลักษณะที่เปนแนวคิดการวิเคราะห
ทั่วไปจากความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาของผูเขียนเอง พวกเขามักจะเริ่มจากการจําแนกศาสนา
วาเปนพทธศาสนาหรอไมใชพทธศาสนา เราสามารถกลาวไดวาการศกษาเชนนไมไดตความผด
ุ ื ุ ึ ี้ ี ิ
จากความเปนจริง ซึ่งคนทองถิ่นสวนหนึ่งก็จําแนกในลักษณะเชนเดียวกันนี้
ในการศึกษานี้ผูเขียนยึดถือแนวทางหลักที่วา วาทกรรมและการจําแนกทางศาสนา
ตองขนอยกบคนทองถน ซงเปนการจาแนกตามวถชวตและประสบการณของคนทองถนภายใต
ึ้ ู ั ิ่ ึ่ ํ ิีีิ ิ่
บรบทของความเปนทองถน เนองจากคนทองถนเปนทงผสรางและผปฏบตตามแนวทางศาสนา
ิ ิ่ ื่ ิ่ ั้ ู ู ิ ั ิ
ดงกลาว ทประกอบขนจากวถชวตทางโลกทมความหลากหลาย แนวทางนเี้ ปนประโยชนอยางมาก
ั ี่ ึ้ ิีีิ ี่ ี
ตอการจาแนกแยกแยะขอเทจจรงของศาสนาทปฏบตกนอยในกลมคนทองถน โดยไมจาเปนตอง
ํ ็ ิ ี่ ิ ั ิ ั ู ุ ิ่ ํ
ยึดถือแนวทางการจําแนกในลักษณะที่วา “ศาสนา” คือธรรมเนียมปฏิบัติตามตําราหรือคําสอน
ทางศาสนา ในขณะที่ “ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” เปนการปฏิบัติที่ไมไดเปนไปตามตําราคําสอน
อันเปนแนวคิดที่อนุมานขอเท็จจริงภายใตวาทกรรมของมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาที่มีตอ
วิถีปฏิบัติหรือปรากฏการณที่ผานการสังเกตในระเบียบวิธีเฉพาะสาขาวิชา ซึ่งมักจะละเลย
บรบทความเปนทองถน ทจรงแลวแนวคดการวเคราะหทางมานษยวทยาและสงคมวทยาเหลานี้
ิ ิ่ ี่ ิ ิ ิ ุ ิ ั ิ
ไดชวยใหเราเขาใจในระดับหนึ่งถึงวิถีปฏิบัติในสังคมที่แตกตางจากสังคมของเรา แตอยางไร
ก็ตาม คําอธิบายและความเขาใจนันอาจจะไมสอดคลองกับวิถปฏิบตทเี่ ปนจริงในทองถิน ขอบเขต
้ ี ั ิ ่
ระหวางการปฏิบัติทางศาสนาตามตําราและไมใชตามตําราที่ใชในกลุมนักวิชาการตะวันตกนั้น
ยงมนยทไมชดเจนในการอธบายวถปฏบตทางศาสนาซงไมยดตดกบแนวคดเชงสถาบน แตเนน
ั ี ั ี่ ั ิ ิี ิ ั ิ ึ่ ึ ิ ั ิ ิ ั
ถึงความสัมพันธสวนบุคคลระหวางผูนําศาสนากับสาวก
ที่จริงแลวบริบทของวิถีปฏิบัติทางศาสนาไดพัฒนาขึ้นภายในวิถีชีวิตของประชาชน
ไมใชสิ่งที่จะสามารถคนหาไดจากตําราทางศาสนา รวมทั้งขอบัญญัติหรือระเบียบขอบังคับทาง
ศาสนาที่ประกาศใชโดยรัฐก็มีสวนเกี่ยวของเพียงสวนนอยตอสภาวะที่เปนจริงในวิถีปฏิบัติทาง
- 4. ศาสนา ถาหากเราคิดวาขอกําหนดเชิงสถาบันสามารถนํามาใชไดทั่วไป โดยปราศจากความ
4 พยายามเขาใจความเปนทองถิ่นถึงการพัฒนาแบบแผนตาง ๆ ในวิถีปฏิบัติของชาวบานแลว
จะไมสามารถเขาใจถึงลักษณะของวิถีปฏิบัติทางศาสนาในพื้นที่นั้นได แนวคิดเชิงวิเคราะห
โดยทั่วไปที่ใชฝกฝนผูเชี่ยวชาญทั้งหลายในลักษณะที่เปนสากล และสามารถประยุกตไดกับ
ทุกวัฒนธรรม เปนสิงทีไมสาคัญอะไรมากไปกวาเปนเพียงการคิดคนหลักเกณฑโดยนักวิชาการ
่ ่ ํ
สาขาวิชาหนึ่งในชวงเวลาหนึ่งของอดีต แนวคิดในประเด็น “ศาสนา” และ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือ
ในประเด็น “วัดทางพุทธศาสนา” โดยความเปนจริงแลวควรเกิดขึ้นภายใตบริบทที่ผานคําบอก
เลาของชาวบานที่ใชชีวิตอยูในวัฒนธรรมหรือทองถิ่นหนึ่ง ๆ
ขอเท็จจริงนี้ควรนํามาใชเปนจุดเริ่มตนของการศึกษาวิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่
ไมใชวัฒนธรรมของผูเขียนเอง ที่จะทําใหผูเขียนสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งที่เขาไดพบเห็น เพื่อให
สอดคลองกับกรอบการวิเคราะหหรือระบบการใหความหมายไดงายขึน ดังนัน จึงเปนความจําเปน
้ ้
ที่จะพิจารณาถึงบริบทที่เชื่อมตอกับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมของทองถิ่น แนวทางนี้ดูเหมือน
เปนการศกษาสงทเปนวถปฏบตทแตกตางจากทฤษฎี ดวยการศกษามมมองและขอกาหนดทาง
ึ ิ่ ี่ ิ ี ิ ั ิ ี่ ึ ุ ํ
สังคมและประวัตศาสตรในวิถชวตของคนทองถิน เชนเดียวกันเมือศึกษาพุทธศาสนาเชิงปฏิบติ
ิ ีีิ ่ ่ ั
ของสังคมไทย-ลาว สถานะของวิถีปฏิบัติทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ภายใตบริบทของ
สังคมทองถินนันตองนํามารวมพิจารณาใหชดเจนดวย กระบวนการเปลียนแปลงและผสมผสาน
่ ้ ั ่
ความรูทางศาสนาเขากับระบบความเชื่อของคนทองถิ่นสามารถที่จะศึกษาได เมื่อเราตระหนัก
วาความรทางศาสนาสามารถพฒนาไปตามพลวตการเปลยนแปลงสภาพแวดลอมของทองถนใน
ู ั ั ี่ ิ่
แตละยุคสมัย นี่คือสิ่งที่เปนสวนประกอบของการขยายหรือปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติทางศาสนาใน
ปจจุบันของคนทองถิ่น ซึ่งรวมถึงพุทธศาสนาดวย
พุทธศาสนาในเชิงสถาบัน
ประเทศไทยซึ่งเปนพื้นที่ศึกษาหลักของการศึกษานี้ เปนศูนยกลางของพุทธศาสนา
เถรวาทของโลก และมีประชากรประมาณ 95% ที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท ทุกเชาจะมีพระ
ภกษและสามเณรออกเดนบณฑบาตไปตามถนนโดยมพทธศาสนกชนรอใสบาตร นอกจากนในวด
ิ ุ ิ ิ ี ุ ิ ี้ ั
ก็ยังมีประเพณีการบวชและการทําบุญในรูปแบบตาง ๆ ซึ่งลวนแตเปนภาพที่ดูแปลกตาสําหรับ
คนตางชาติ พุทธศาสนาไดสรางสีสันในแงมุมตาง ๆ ใหแกประเทศไทย ซึ่งรวมถึงประเด็นใน
เรองการเมอง สงคม และวฒนธรรมดวย คาอธบายของพทธศาสนาทมงอธบายใหชาวตางชาติ
ื่ ื ั ั ํ ิ ุ ี่ ุ ิ
เขาใจจงดกลายเปนสงทไรความหมาย สาหรบชาวพทธสวนใหญในสงคมไทยพทธศาสนาไมได
ึ ู ิ่ ี่ ํ ั ุ ั ุ
- 5. จํากัดอยูเฉพาะความรูในตําราคําสอนหรือเทศกาลตาง ๆ แตเปนวิถปฏิบตทกลายเปนสวนหนึง
ี ั ิ ี่ ่
ในวิถีชีวิตประจําวันของพุทธศาสนิกชน 5
ดังนั้น อะไรคือจุดเดน หรือลักษณะพิเศษของพัฒนาการทางประวัติศาสตร
ของพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนาในฐานะที่เปนศาสนาหนึ่งในโลกเปนแหลงที่มาของ
คําสอนและนิกายตาง ๆ มากมาย ทั้งนี้ตามเสนทางความเปนมาของการเผยแพรพุทธ-
ศาสนา ไดมีการปรับเปลี่ยนคําสอนที่แตกตางกัน เนื่องจากการคัดลอกและแปลคําสอน
ของพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึงพุทธศาสนามหายานที่มีจํานวนพุทธศาสนิกชนมากที่สุดในโลก
และพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งมีอิทธิพลมากในเอเชียอาคเนย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนใน
ประเทศไทย ศรีลังกา พมา ลาว กัมพูชา จีนตะวันตกเฉียงใต และเวียดนามตอนใต ลวนแต
เปนผูที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งอาจกลาวโดยรวมไดวา มีพุทธศาสนิกชนในสังกัดราว
100 ลานคนในปจจุบัน1 เมื่อเปรียบเทียบกับพุทธศาสนามหายานซึ่งใชคําสอนที่แตกตางกัน
พทธศาสนาเถรวาทในแตละประเทศมระเบยบประเพณและพระธรรมวนยทมลกษณะคลายคลง
ุ ี ี ี ิ ั ี่ ี ั ึ
กันมาก เพราะใชคาสอน คําอรรถาธิบาย หรือบันทึกขอวิจารณตาง ๆ จากพระไตรปฎกภาษาบาลี
ํ
เชนเดียวกัน แตเนื่องจากภาษาบาลีไมมีตัวอักษรเปนของตนเอง ทําใหการบันทึกคําสอน
ตาง ๆ ถูกเขียนในภาษาที่แตกตางกันไปในแตละประเทศ ทั้งในภาษาศรีลังกา ภาษามอญ
ภาษาพมา ภาษาเขมร และภาษาไทย ดงนน นกายตาง ๆ ในพทธศาสนาเถรวาทจงไมไดอยบน
ั ั้ ิ ุ ึ ู
พืนฐานความแตกตางในพระธรรมวินย แตเปนความแตกตางของกระบวนการทางประวัตศาสตร
้ ั ิ
ความเปนมาของทองถิ่น
ยิ่งไปกวานั้น พุทธศาสนาเถรวาทในทุกประเทศถูกกําหนดคุณลักษณะโดยการบวช
และการมีสวนรวมในคณะสงฆของพุทธศาสนิกชน คณะสงฆเปนสถาบันหนึ่งที่กําหนดวิถีการ
ปฏิบตของพระสงฆแยกออกมาจากโลกียวิสยและอุทศตนเองหรือบําเพ็ญเพียรเพือใหหลุดพนจาก
ั ิ ั ิ ่
วัฏสงสาร อันเปนจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา การศึกษาแนวปฏิบัติในพุทธศาสนาเถรวาท
ถูกกําหนดโดยการปฏิบัติตามศีล ซึ่งถือเสมือนเปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาที่ลวงละเมิดมิได
เนืองจากการปฏิบตทมงบรรลุการหลุดพนดวยตนเอง และมีระเบียบประเพณีทกดกันผูหญิงจาก
่ ั ิ ี่ ุ ี่ ี
การบวชเปนพระภิกษุ พุทธศาสนาเถรวาทจึงถูกตังชือในเชิงเสียหายวาเปนพุทธศาสนาหินยาน
้ ่
ในความหมายเชิงตรงขามกับพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเปนนิกายที่เกิดขึ้นในภายหลัง
กษตรยของแตละกลมชาตพนธทปกครองประเทศตาง ๆ ในภมภาคเอเชยอาคเนยและ
ั ิ ุ ิ ั ุ ี่ ู ิ ี
ทางตะวันตกเฉียงใตของจีน ซึงประกอบดวยดินแดนทีเ่ รียกวาสิบสองปนนาและไตคง (Dehong)
่
ยอมรับเอาพุทธศาสนาเถรวาททีเผยแพรจากอินเดียผานมาทางศรีลงกาในชวงระหวางศตวรรษ
่ ั
ที่ 12 ถึง 14 นอกจากนี้ในชวงระหวางศตวรรษที่ 15 ถึง 17 บรรดาผูปกครองในภูมิภาคเหลา
- 6. นียงคงสืบทอดประเพณีเพือสรางความชอบธรรมในอํานาจทางการเมืองของตนในลักษณะทีเ่ ปน
้ั ่
6 ผูนาทีมคณธรรม ดวยการปรับคําสอนของศาสนาพุทธทีรบมาจากศรีลงกา (Lieberman, 1993:
ํ ่ ี ุ ่ั ั
242) ซึ่ง Max Weber อธิบายเสริมวา เนื่องจากความจําเปนของพุทธศาสนาเถรวาทภายใต
อุดมการณเพื่อการหลุดพนนั้นไมสามารถบรรลุไดโดยปราศจาการชี้นําของพระสงฆ (Weber,
1976: 329) โดยนัยนี้พุทธศาสนาถูกปฏิบัติโดยพระสงฆที่นาเลื่อมใสศรัทธา และภายใตการนํา
ของกษตรยและราชสานก จงเปนศนยกลางของอานาจทางการเมองแบบดงเดมในภมภาคเอเชย
ั ิ ํ ั ึ ู ํ ื ั้ ิ ู ิ ี
อาคเนย อยางไรก็ตาม พุทธศาสนาเถรวาทยังคงสืบทอดเปนศาสนาในวิถชวตของคนในภูมภาค ีีิ ิ
นี้ ซงสามารถสะทอนใหเ หนไดจากธรรมเนยมปฏบตของการทาบญถวายของใหพระสงฆหรอวด
ึ่ ็ ี ิ ั ิ ํ ุ ื ั
โดยประชาชนสวนใหญยึดถือปฏิบัติจนกลายเปนสวนหนึ่งในชีวิตประจําวัน
ประเด็นคําถามวิจยของการศึกษานีคอ กลุมคนชาติพนธุไทย-ลาวในภาคอีสานของไทย
ั ้ ื ั
หรอทเี่ รยกวาคนไทยอสาน มวถปฏบตทางศาสนาในลกษณะทสอดคลองกบพทธศาสนาเถรวาท
ื ี ี ีิี ิ ั ิ ั ี่ ั ุ
อยางไร มรปแบบอะไรบางทางพทธศาสนาทถกนาไปปฏบตโดยพทธศาสนกชนทไมสามารถจะ
ีู ุ ี่ ู ํ ิ ั ิ ุ ิ ี่
อานคําสอนทางศาสนาได เพื่อที่จะตอบคําถามเหลานี้ เราตองจําแนกแยกแยะกระบวนการ
ทางประวัตศาสตรเกียวกับการกอตัวของวิถการดําเนินชีวตทางโลกและรูปแบบของพุทธศาสนา
ิ ่ ี ิ
เชิงปฏิบัติในทองถิ่น ซึ่งประเด็นดังกลาวนี้เปนวัตถุประสงคหลักของหนังสือนี้
ในเบื้องแรก ควรเริ่มจากการพิจารณาถึงสถานะของภาคอีสาน อันเปนที่อยูอาศัย
ของคนกลุมชาติพันธุไทย-ลาว ภายใตสถาบันพุทธศาสนาของไทยที่เนนการประกอบกิจกรรม
ตาง ๆ ภายในวัด ใน พ.ศ. 2540 ในประเทศไทยมีวัดที่จดทะเบียนจํานวน 30,377 วัด (กรม
การศาสนา, 2542 : 46) อยางไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2526 เมื่อผูเขียนเริ่มเขาไปทํางานสนามใน
หมูบานแหงหนึ่งของภาคอีสาน ขอมูลของวัดที่จดทะเบียนในประเทศไทยมีจํานวน 31,267
วัด2 ซึ่งในจํานวนนี้มีเพียง 1,767 วัด หรือ 5.7% ที่เปนวัดในเมือง ซึ่งหมายถึงวัดที่ตั้งอยู
ในกรุงเทพมหานครและเขตเทศบาลเมืองหรือเทศบาลตําบล ที่มีประชากรมากกวา 10,000
คน ที่เหลือ 94.3% หรือ 29,500 วัด เปนวัดที่ตั้งอยูในหมูบานชนบท โดยเปรียบเทียบกับวัด
ในประเทศญี่ปุน การกระจายตัวของวัดในประเทศญี่ปุนจะถูกกําหนดโดยจํานวน 1 วัดตอ
1 หมูบาน ขณะที่อัตราสวนในประเทศไทยใน พ.ศ. 2526 มีประมาณ 1 วัดตอ 2 หมูบาน3
ในปเดียวกันประมาณครึ่งหนึ่งของวัดในประเทศไทยคือ 15,705 วัด หรือ 50.2% ตั้งอยูใน
ภาคอีสาน ซึ่งเปนภูมิภาคที่มีพื้นที่มากกวา 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ และเปนที่อยูอาศัยของ
ประชาชนมากกวา 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ4 ภาคอีสานซึ่งเปนพื้นที่ศึกษาวิจัยของ
การศึกษานี้จึงเปนภูมิภาคที่มีความมั่นคงมากที่สุดของการนับถือพุทธศาสนาในประเทศไทย
(cf. Tambiah, 1976: 275)
- 7. พระราชบัญญัติคณะสงฆ พ.ศ. 2505 ไดจําแนกวัดเปน 2 แบบ คือ วัดที่ไดรับ
พระราชทานวิสุงคามสีมา ซึ่งถือเปนเขตสําคัญทางศาสนาเพื่อประกอบพิธีกรรมการบวชพระ 7
และสํานักสงฆที่ไมมีวิสุงคามสีมา5 พิธีกรรมบวชพระซึ่งถือเปนกาวแรกของการเขาเปนสมาชิก
ในคณะสงฆสามารถดําเนินการไดเฉพาะในวัดแบบแรก เมื่อชาวบานมีความปรารถนาที่จะ
กอตั้งวัดขึ้นใหม มักจะเริ่มจากการไดรับอนุมัติใหสรางสํานักสงฆขึ้นกอน และเพื่อที่จะสราง
วิสุงคามสีมา ชาวบานตองยื่นเรื่องขออนุญาตจากนายอําเภอ การตัดสินใจสุดทายจะอยูที่กรม
การศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ6 (ในขณะนั้น) ดังนั้น ในพื้นที่ชนบทสวนมากจึงมีสํานักสงฆ
ในสดสวนทสงกวาวดทมวสงคามสมา ในชมชนทมสานกสงฆผทตองการจะบวชพระจาเปนตอง
ั ี่ ู ั ี่ ี ิ ุ ี ุ ี่ ี ํ ั ู ี่ ํ
ไปบวชที่วัดอื่นที่มีวิสุงคามสีมา หลังจากบวชเปนพระภิกษุแลวก็สามารถกลับมาจําพรรษาอยูที่
สํานักสงฆในหมูบานของตนได
แมวาจํานวนสํานักสงฆของทั้งประเทศจะไมชัดเจน แตเฉพาะในภาคอีสานใน พ.ศ.
2526 มีศาสนสถานที่จดทะเบียนเปนสํานักสงฆจํานวน 10,077 แหง ยิ่งไปกวานันยังมีพระสงฆ
้
ในภูมภาคนีอกสวนหนึงทีจาพรรษาอยูในทีพกสงฆชวคราว ทีไมไดอยูในขายการจัดเปนสํานักสงฆ
ิ ้ี ่ ่ํ ่ ั ั่ ่
หรือวัดและไมปรากฏอยูในสถิติของกรมการศาสนาอีกดวย ประเด็นสําคัญที่ควรพิจารณา
ในที่นี้คือ ถาหากไมพิจารณาในประเด็นความแตกตางทางกฎหมาย ประชาชนในภูมิภาคนี้
มักจะเรียกศาสนสถานทั้ง 3 แบบนี้วา “วัด” เชนเดียวกันหมด ยิ่งไปกวานั้นในศาสนสถาน
ประเภทวัดยังมีการจําแนกประเภทของวัดเปนวัดอารามหลวงและวัดราษฎร ในขอมูลสถิติ
ตั้งแตประกาศใชพระราชบัญญัติคณะสงฆ พ.ศ. 2505 แมวาการจําแนกดังกลาวนี้จะไมไดใช
จาแนกอยางเปนทางการและเครงครด แตโดยทวไปแลวในประเภทวดอารามหลวงนน ประกอบ
ํ ั ั่ ั ั้
ดวยวัดที่สรางโดยพระมหากษัตริยหรือจดทะเบียนภายใตการอนุมัติของราชสํานัก สวนวัด
อื่น ๆ ทั้งหมดนอกจากนี้ถือเปนวัดราษฎร7 ใน พ.ศ. 2526 ทั้งประเทศมีวัดอารามหลวงเพียง
202 วัด หรือ 0.65% เทานั้น และในจํานวนนี้เปนวัดอารามหลวงที่ตั้งอยูในเขตเมืองจํานวน
83 วัด8 กลาวไดวาวัดเกือบทั้งหมดในภาคอีสานเปนวัดราษฎร ซึ่งที่จริงแลวถือเปนธรรมเนียม
ปฏิบตของคนทองถินทีจะสรางและพัฒนาวัดขึนเอง อันเปนลักษณะแตกตางจากวัดในประเทศ
ั ิ ่ ่ ้
ญี่ปุนที่ไมเปนสถาบันหรือองคกรที่จัดตั้งขึ้นโดยประชาชนที่อาศัยอยูในเขตศาสนสถานหนึ่ง ๆ
และไมไดเปนสถานที่ที่เปดเผยตอบุคคลภายนอกในลักษณะทั่วไป
ความแตกตางทีเดนชัดอีกประการหนึ่งของคณะสงฆไทยในปจจุบัน คือการแบงเปน
่
2 นกาย คอ มหานกายและธรรมยตกนกาย ธรรมยตกนกายไดรบการกอตงโดยพระบาทสมเดจ
ิ ื ิ ุ ิ ิ ุ ิ ิ ั ั้ ็
พระจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ 4 (ครองราชยระหวาง พ.ศ. 2394-2411) ใน พ.ศ. 2379
โดยมุงเนนสนับสนุนการกลับไปใชตําราหรือหนังสือพระธรรมที่เปนภาษาบาลี โดยมีจุดเริ่มตน
- 8. ในลักษณะทีเ่ ปนปฏิกรยาตอความเสือมของพุทธศาสนาในสังคมไทยในขณะนัน รวมทังเปนการ
ิิ ่ ้ ้
8 สืบทอดมาจากประเพณีปฏิบัติของคณะสงฆมอญและพมา การกําหนดเรียกมหานิกายสําหรับ
นิกายที่มีอยูแลวเกิดขึ้นในลักษณะคูขนานกับธรรมยุติกนิกาย ซึ่งมีวิถีปฏิบัติที่แตกตางเดนชัด
จากมหานิกาย คือมีความแตกตางกันในการออกเสียงสวดมนตภาษาบาลี วิธีการถือบาตรของ
พระสงฆ และวิธีการสวมจีวร สัดสวนของวัดธรรมยุตในประเทศไทยมีเพียงประมาณ 5% ใน
พ.ศ. 25269 แตแมวาจะเปนพระสงฆสวนนอย ธรรมยุติกนิกายถูกพิจารณาวามีอํานาจและ
อิทธิพลทางสังคมสูงกวามหานิกาย ทั้งนี้ไมใชเพียงเพราะวามีวิถีปฏิบัติที่เครงครัด แตยังรวม
ถึงการมีสัมพันธภาพที่ใกลชิดกับราชสํานัก ซึ่งเปนผลใหมีการแพรขยายแนวปฏิบัติของธรรม-
ยุติกนิกายผานทางราชสํานักไปยังประเทศเพื่อนบานที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท คือ กัมพูชา
และลาว และภายหลังยังไดเผยแพรไปยังประเทศอินโดนีเซียอีกดวย อยางไรก็ตาม ความ
แตกตางระหวางธรรมยุตกนิกายและมหานิกายไมปรากฏในพระธรรมวินย แตปรากฏในวิถการ
ิ ั ี
ปฏิบัติและพิธีกรรมดังที่ไดกลาวแลวขางตน ดังนั้น ทั้ง 2 นิกายจึงไมไดถูกพิจารณาวาแยก
จากกันโดยเด็ดขาด ในทางกฎหมายแลวทั้ง 2 นิกายเปนของคณะสงฆไทยเชนเดียวกัน และ
พทธศาสนกชนกไมมความรสกวาตนเองตองเลอกสงกดอยในนกายใดนกายหนงเปนการเฉพาะ
ุ ิ ็ ี ู ึ ื ั ั ู ิ ิ ึ่
แมวาธรรมยุติกนิกายไดถูกกอตั้งขึ้นจากราชสํานัก และวัดของฝายธรรมยุตสวน
ใหญตงอยในเขตเมอง แตวดทเี่ ปนสาขาแรกของธรรมยตกนกายถกตงขนในจงหวดอบลราชธานี
ั้ ู ื ั ุ ิ ิ ู ั้ ึ้ ั ั ุ
ของภาคอีสานในราวกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งในขณะนั้นยังไมมีการเคลื่อนไหวปฏิรูปทางศาสนา
ทีชดเจน รายละเอียดทางประวัตศาสตรทอยูเบืองหลังการพัฒนานีจะนําเสนออีกครังในบทที่ 5
่ั ิ ี่ ้ ้ ้
แตควรจะบันทึกไว ณ ที่นี้วาพุทธศาสนาในภาคอีสานไดเริ่มเปดชองทางเชื่อมตอกับศูนยกลาง
ระดับชาติตงแตในชวงกอนทีพทธศาสนาจะถูกยอมรับในเชิงปฏิบตใหเปนศาสนาประจําชาติไทย
ั้ ่ ุ ั ิ
การเขาถึงความเปนทองถิ่น
หนังสือเลมนี้พยายามที่จะนําเสนอประวัติศาสตรชาติพันธุทองถิ่นของศาสนาและ
สังคมไทย-ลาว ในรูปแบบที่สะทอนใหเห็นพลวัตของการเปลี่ยนแปลงในสังคมปจจุบัน แทนที่
จะเนนการศึกษาเพือคนหาแหลงกําเนิดของคนชาติพนธุไทย-ลาว หนังสือนีนาเสนอขอมูลสังคม
่ ั ้ ํ
ไทย-ลาวในเชิงประวัติศาสตรที่ชี้ใหเห็นถึงความสัมพันธระหวางกลุมชาติพันธุในภูมิภาคและ
ระหวางชาติ ในขณะเดยวกนหนงสอนยงพยายามสะทอนภาพการเปลยนแปลงทปรากฏภายใน
ี ั ั ื ี้ ั ี่ ี่
กลมชาตพนธหนงในผนแผนดนเอเชยอาคเนย ดวยการอธบายผานลกษณะชาตพนธตลอดชวง
ุ ิ ั ุ ึ่ ื ิ ี ิ ั ิ ั ุ
เวลาที่ผานมา
- 9. ผูเขียนพยายามคนหาแนวคิดทฤษฎีที่เชื่อมโยงกลุมชาติพันธุกับความเปนภูมิภาค
วิถชวตประจําวัน และความเปนชาติ ผานมุมมองพุทธศาสนาเชิงปฏิบตและการเปลียนแปลงของ
ีีิ ั ิ ่ 9
ความเลือมใสศรัทธาในเรืองผี แนวทางนีมสวนสัมพันธกบกรอบแนวคิดการศึกษาทีพฒนาขึนมา
่ ่ ้ ี ั ่ ั ้
จากทงแนวคดชาตพนธวทยาทางศาสนาและแนวคดสงคมวทยาเปรยบเทยบ งานศกษานไดขยาย
ั้ ิ ิ ั ุ ิ ิ ั ิ ี ี ึ ี้
แนวคดจากการศกษาเรองศาสนาเชงปฏบตของ Stanley J. Tambiah ซงไดนาเสนอการตความ
ิ ึ ื่ ิ ิ ั ิ ึ่ ํ ี
ในเชงโครงสรางหนาทของการบรณาการระบบศาสนาทแตกตางกนในภาพรวม โดยเนนในเรอง
ิ ี่ ู ี่ ั ื่
ชาติพันธุวิทยาทางศาสนาและเนนบริบทของศาสนาหนึ่งมากกวาบริบทของหมูบาน เพื่อที่จะ
จําแนกแบบแผนใหมสําหรับการศึกษาศาสนาและสังคม
แนวความคดทนาเสนอในแตละบท เปนการนาเสนอถงรปแบบการกอตวของวถปฏบติ
ิ ี่ ํ ํ ึ ู ั ิี ิ ั
ในศาสนาหมูบาน (village religion) จากมุมมองของปฏิสัมพันธระหวางกันของคนกับโลกของ
ปา สังคมไทย-ลาวสะทอนใหเห็นถึงลักษณะเฉพาะของสังคมที่บุกเบิกตั้งถิ่นฐานชุมชนจากการ
ยายถิ่น ซึ่งมักจะเปนการขยับขยายเขาไปบุกเบิกพื้นที่รกรางวางเปลา และโดยเงื่อนไขดังกลาว
นมกจะถกมองโดยนกวชาการบางกลมวาเปนกลไกหนงของการเชอมตอทางสงคมกบความเปน
ี้ ั ู ั ิ ุ ึ่ ื่ ั ั
เมืองหรือรัฐชาติ (cf. Condominas, 1970, 1990) เบื้องหลังของมุมมองนี้อยูบนพื้นฐานขอเท็จ
จริงที่วา การคงอยูของผืนปาเปนสิ่งตรงขามกับวิถีชีวิตทางสังคมของประชาชน คําวา “ปา” ที่
ถูกใชในที่นี้มีนัยที่อยูเหนือกวาความหมายสมัยใหมของรูปแบบที่เปนสิ่งแวดลอมทางกายภาพ
ของปาไม แตเปนคําอุปมาทีชวยอธิบายถึงความเปนมาและการตอรองแลกเปลียนระหวางกลุม
่ ่
ชนพื้นเมืองและกลุมคนที่อพยพมาทีหลัง ซึ่งเปนปรากฏการณที่เห็นไดทั่วไปในภูมิภาคเอเชีย
อาคเนย ลักษณะเชนนี้เปนเงื่อนไขสําคัญที่มีผลใหเกิดสภาพที่หลากหลายของการจําแนกวิถี
ปฏิบัติทางศาสนา แมแตภายในภูมิภาคเดียวกันประชาชนที่อยูในแตละภูมิภาคไดขัดเกลา
มมมองทเี่ ปน “ปรชญาชวต” ของพวกเขา ซงรวมถงจตสานกทางโลกทไรขอบเขตกบจตสานกทาง
ุ ั ีิ ึ่ ึ ิ ํ ึ ี่ ั ิ ํ ึ
สังคมทีมขอบเขตจํากัด ในทางกลับกันปรัชญานีในปจจุบนกําลังแตกทําลายไปภายใตอทธิพลของ
่ ี ้ ั ิ
โลกาภิวัตน ซึ่งสงผลกระทบตอจิตสํานึกทางสังคม ในสถานการณเชนนี้เปนความไมเหมาะสม
ที่จะพยายามตีความประเด็นนี้ในลักษณะที่เปนความกาวหนาหรือเปนการพัฒนาเชิงเดี่ยว
ผูเขียนพยายามอยางยิ่งที่จะนําเสนอประสบการณของชาวบาน ในลักษณะที่เปนสวนหนึ่งของ
สภาพแวดลอมและความสัมพันธที่ซับซอนและหลากหลายมิติที่เกี่ยวกับปา ในลักษณะที่เปน
สวนประกอบสําคัญของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขา จากความพยายามที่จะอธิบายให
ชัดเจนถึงขอบเขตทางศาสนาที่ปรากฏและการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมหมูบานในภาคอีสาน
ของไทย งานศึกษานี้จึงเปนงานที่มุงนําเสนอภาพทางสังคมของวิถีปฏิบัติทางศาสนาในพื้นที่
ศึกษาหนึ่ง เนื่องจากแนวคิดที่ใชในการศึกษาจํากัดที่หมูบานของกลุมชาติพันธุไทย-ลาว ซึ่ง
- 10. เปนสวนหนงของกลมชาตพนธไท (Tai) การศกษานจงมลกษณะเปนชาตพนธวทยาทางศาสนา
ึ่ ุ ิ ั ุ ึ ี้ ึ ี ั ิ ั ุ ิ
10 ในพื้นที่เปาหมายเฉพาะ
โดยความเปนจริงแลว ยิงคนคนหนึงถูกดูดกลืนเขาเปนสวนหนึงในวิถชวตประจําวัน
่ ่ ่ ีีิ
ของคนในชมชนหนงมากเทาไร คนคนนนกจะยงมคณลกษณะเฉพาะทางชาตพนธนอยลง และ
ุ ึ่ ั้ ็ ิ่ ี ุ ั ิ ั ุ
จะเริ่มรูสึกวาแนวคิดเกี่ยวกับโลกและพฤติกรรมทางสังคมของตนมีความสมบูรณ และสามารถ
อธบายไดชดเจนในชมชนนนเอง ทงนกลาวไดวาในการศกษาสงคมหนง ๆ คาอธบายของผคน
ิ ั ุ ั้ ั้ ี้ ึ ั ึ่ ํ ิ ู
ที่อพยพเขาไปอยูในพื้นที่นั้นมักจะมีความแตกตางเมื่อเปรียบเทียบกับคําอธิบายที่บันทึกอยาง
เปนทางการโดยผูปกครอง ไมวาจะเปนในประเด็นลักษณะทางภูมิศาสตรของภูมิภาค ความ
เปนสถาบันตาง ๆ อยางเชน “กลุมชาติพันธุ” หรือ “รัฐ” ซึ่งเปนเงื่อนไขที่ตองเผชิญหนาซึ่งกัน
และกน รวมถงองคประกอบของวถการปฏบตทางศาสนากปรากฏในหลายรปแบบตามความคด
ั ึ ิี ิ ั ิ ็ ู ิ
และมมมองของแตละฝาย ดวยเหตผลเหลานงานศกษานจงพยายามทจะอธบายการปฏบตทาง
ุ ุ ี้ ึ ี้ ึ ี่ ิ ิ ั ิ
ศาสนาของประชาชน จากมุมมองของคนทองถิ่นตามวิถีปฏิบัติจริงของพวกเขา
ในขณะทีกลุมคนทีถกศึกษาในครังนี้ ถูกเรียกทังโดยนักภาษาศาสตรและกลุมคนภาษา
่ ู่ ้ ้
อืน ๆ ในภาคอีสานวาเปน “คนลาว” ในทางตรงขามกับคนกรุงเทพฯ และคนลาวในประเทศลาว
่
ที่มักเรียกคนกลุมนี้วา “คนอีสาน” คําวา “ลาว” นั้นไมไดหมายถึงเฉพาะเอกลักษณของคนใน
ชมชนหมบาน แตยงหมายรวมถงความสมพนธระหวางภมภาคตาง ๆ และระหวางชนชาตตาง ๆ
ุ ู ั ึ ั ั ู ิ ิ
ที่รวมกันอยูในหมูบาน และภายในกลุมชาติพันธุที่แตกตางกันทางประวัติศาสตร ประเด็น
นี้สะทอนใหเห็นไดจากประสบการณสนามของผูเขียนเอง ซึ่งผูเขียนเพิ่งเริ่มสังเกตเห็นไดถึง
ความสัมพันธของชุมชนที่มีตอความเปนภูมิภาคและรัฐชาติก็ตอเมื่อหลังจากที่ไดออกมาจาก
ชมชนทศกษาแลว รวมถงการไดออกจากเครอขายความสมพนธของหมบานไทย-ลาวในภาคอสาน
ุ ี่ ึ ึ ื ั ั ู ี
และไดขามพื้นที่ไปศึกษาสังคมลาวที่แตกตางกันในประเทศลาว10 ทั้งนี้คําวา “สังคมลาว” ที่ใช
ในการศกษานไดตงใจทจะอธบายปรากฏการณทางสงคมและศาสนาทปรากฏภายในกรอบเวลา
ึ ี้ ั้ ี่ ิ ั ี่
ทางประวตศาสตรของทองถนแหงหนงในภมภาคเอเชยอาคเนย และยงเปนการจาแนกลกษณะ
ั ิ ิ่ ึ่ ู ิ ี ั ํ ั
ทั่วไปของกลุมสังคมหนึ่งที่ใชในการอธิบายและทําความเขาใจถึงแบบแผนรวมกันทางภาษา
และระเบียบประเพณีทางศาสนาภายในภูมิภาคที่พวกเขามีปฏิสัมพันธใกลชิดกัน หรือกลาวอีก
นัยหนึ่งคํานี้เปนกรอบแนวคิดที่อธิบายโดยศึกษาจากปรากฏการณสังคมตาง ๆ ประเด็นหนึ่งที่
จะเหนไดในบทตอไปคอ คนรนใหมจากภาคอสานซงเปนแหลงทอยอาศยของกลมคนทใชภาษา
็ ื ุ ี ึ่ ี่ ู ั ุ ี่
ไทย-ลาวนั้น เกือบจะไมยินยอมเรียกตนเองวาเปน “คนลาว” อีกตอไป
คาวา “ไทย-ลาว” ไมเ พยงแตถกใชจาแนกเพอเปรยบเทยบกบกลมคนทไมใชชาตพนธุ
ํ ี ู ํ ื่ ี ี ั ุ ี่ ิ ั
ลาวโดยคนลาวในประเทศลาว แตยงรวมถงความหมายทเปนชาตนยมลาวซงมงใชเพอการผสม ั ึ ี่ ิ ิ ึ่ ุ ื่
- 11. กลมกลืนชนพืนเมืองอืน ๆ ใหเปน “ลาว” ทังนีคนลาวมีประมาณครึงหนึงของประชากรหลากหลาย
้ ่ ้ ้ ่ ่
ชาติพันธุในประเทศลาว ถาเรามีสมมุติฐานวาไมเคยมีการจําแนกกลุมชาติพันธุใดมากอนใน 11
ทุกยุคทุกสมัยหรือในที่อื่นใด (นอกจากการจําแนกที่กําหนดขึ้นมาโดยนักวิชาการ) ดังนั้น
คําวา “สังคมลาว” จึงไมไดเพียงแสดงนัยทางดานพันธุกรรม แตคานีมความหมายในนัยทีสะทอน
ํ ้ ี ่
ถึงขอเท็จจริงทางประวัติศาสตรของประชาชนที่ปจจุบันอาศัยอยูใน 2 ประเทศตางกัน ซึ่งใน
อดีตเคยถูกพิจารณาวาเปนกลุมชาติพนธุเ ดียวกัน อยางนอยทีสดก็อยูภายใตการปกครองเดียวกัน
ั ุ่
ในชวงระหวางศตวรรษที่ 19 และ 20 ยิ่งไปกวานั้นคําวา “สังคมลาว” ยังมีนัยสําคัญในบริบท
ของชนกลุมนอยอื่น ๆ ทีอาศัยอยูรวมกับคนลาว มีตัวอยางมากมายในปจจุบันที่ประชาชนของ
่
กลุมชาติพนธุเ ดียวกันทีมลกษณะรวมทางภาษาและประเพณี ไดมการพัฒนาไปสูความเปนสังคม
ั ่ ีั ี
ทแตกตางกน คนลาวในปจจบนจงประกอบดวย 2 สงคมดงทกลาวมาแลว โดยการพจารณาถง
ี่ ั ุ ั ึ ั ั ี่ ิ ึ
ขอเทจจรงทางประวตศาสตร กระบวนการเปลยนแปลงทางสงคมและวฒนธรรมในสงคมทงสอง
็ ิ ั ิ ี่ ั ั ั ั้
และพลวัตของกลุมชาติพันธุตาง ๆ ยังสามารถศึกษาวิเคราะหใหชัดเจนยิ่งขึ้นได
โดยทั่วไปแลวมักจะเปนคนนอกที่อธิบายกลุมชาติพันธุหนึ่ง ๆ ดวยการจําแนกทาง
วฒนธรรมแลวจงกาหนดชอให คาเรยก “สงคมลาว” กเ็ ปนเชนเดยวกนถกกาหนดขนโดยคนนอก
ั ึ ํ ื่ ํ ี ั ี ั ู ํ ึ้
ทั้งโดยกลุมคนที่เปนเพื่อนบานและคนตางชาติ จริง ๆ แลวการจําแนกไมควรพิจารณาที่ภาษา
หรือชื่อที่ถูกกําหนดขึ้น แตควรจะพิจารณาถึงความเปนจริงในชีวิตประจําวันของกลุมคนที่พูด
ภาษานั้น แนวคิดและความเขาใจที่ใชในหนังสือเลมนี้ลวนมีพื้นฐานมาจากคําทั้งหลายที่ใช
โดยคนทองถิ่นและคนนอก ทุกครั้งที่ผูเขียนไดมีโอกาสเขาไปเยี่ยมเยียนกลุมชาติพันธุตาง ๆ
ความรูสึกของการพบกับกลุมชาติพันธุเฉพาะคอย ๆ เลือนหายไป กลายเปนความรูสึกของ
การเยี่ยมเยียนหมูบานหนึ่งและทองถิ่นหนึ่ง กลุมคนที่ผูเขียนไดพบและไดรวมแบงปนเวลาและ
สถานทีรวมกันนัน ลวนเปนกลุมคนทีมประสบการณและแบบแผนทางประวัตศาสตรของตนเอง
่ ้ ่ ี ิ
พวกเขาใหคําอธิบายไวอยางนาประทับใจวาศาสนาที่พวกเขาปฏิบัติไมสามารถแยกออกจาก
แบบแผนชีวิตของคนทองถิ่นที่อาศัยอยูที่นั่นได
ขอมูลที่จะนําเสนอในบทตอ ๆ ไปนี้ เปนผลของการศึกษาเชิงประจักษในหมูบาน
ไทย-ลาวหลายแหง11 การอภิปรายในสวนตาง ๆ ที่เหลือของบทแรกนี้เปนการสรุปถึงการศึกษา
ที่ผานมาเกี่ยวกับวิถีการปฏิบัติทางศาสนาในประเทศไทย เพื่อที่จะแนะนําคําสําคัญตาง ๆ ที่
ใชในหนังสือเลมนี้ ซึ่งใชอธิบายถึงความเปนจริงที่เปนพลวัตของวิถีการปฏิบัติ ในลักษณะที่
มักจะถูกกําหนดลวงหนาวาเปนพุทธศาสนาหรือไมใชพุทธศาสนาจากระบบเหตุผลที่สืบทอด
มา เราจําเปนตองศึกษาใหเขาใจจากบริบทของภูมิภาคนั้น ๆ ในบทที่ 2 และบทที่ 3 เปน
ความพยายามจะอธิบายใหชัดเจนถึงสถานะของความเปนไทย-ลาวและความสัมพันธที่มีตอ