SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  36
Télécharger pour lire hors ligne
โครงงาน (Project Work) 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ 
เรื่องระบบปฏิบัติการ 
เสนอ 
อาจารย์ ธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห์ 
จัดทา โดย 
นาย ภาคิน คุณดวง 
นาย กนกพล นาเม็ง 
นางสาว วานุพร ภูขาว 
พณ.1/12 
รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการเบื้องต้น 
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 
วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
เรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 
ประเภทโครงงาน โครงงานเผยแพร่ความรู้ออนไลน์ 
ระดับชั้น ปวช.1 
โดย นาย ภาคิน คุณดวง 
นาย กนกพล นาเม็ง 
นางสาว วานุพร ภูขาว 
สถานศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น 
ครูที่ปรึกษา คุณครูธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห ์ 
ปีการศึกษา 2557 
บทคัดย่อ 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ จัดทา ขึ้นเพื่อจุดประสงค์ 
1. เพื่อเผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 2. เพื่อการศึกษาหาความรู้ทางด้านออนไลน์ 
เรื่องระบบปฏิบัติการ การพัฒนาความก้าวของการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ 
การเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ 
ในการจัดทา รายงานประกอบสื่อสารเรียนรู้ในครั้งนี้ ผู้จัดทา ขอขอบคุณ อาจารย์ ธิดารัตน์ 
พลพันธ์สิงห์ ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา เพื่อนๆ ทุกคนที่ให้ 
ความช่วยเหลือมาโดยตลอดผู้จัดทา หวังว่ารายงานฉบับนี้จะได้ให้ความรู้และประโยชน์มากมายในการเรื่องรู้ 
เรื่องระบบปฏิบัติการ
กิตติกรรมประกาศ 
โครงงานนี้สา เร็จได้ด้วยความกรุณาของ อาจารย์ ธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห์ 
อาจารย์ประจา วิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 
ที่ให้คา ปรึกษาในการแก้ไขและปรับปรุงโครงงานให้สา เร็จเป็นอย่างสูง
สารบัญ 
เรื่อง หน้า 
บทคัดย่อ ก 
กิตติกรรมประกาศ ข 
สารบัญ ค-ง 
บทที่ 1 ที่มาและความสาคัญ 1 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2 
ระบบปฏิบัติการเบื้องต้น 3 
ความหมายของระบบปฏิบัติการ 3 
ระบบปฏิบัติการ(Operating System) ระบบต่างๆ 6 
โปรแกรมประมวลคา 7 
ความสา คัญของโปรแกรมประมวลผลคา 8-9 
คุณสมบัติโดยทั่วไปของโปรแกรมประมวลคา 10 
คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ 14 
การทางานของคอมพิวเตอร์ 15 
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ 16-17 
ลักษณะของคอมพิวเตอร์ 18 
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ 18 
ประเภทของคอมพิวเตอร์ 21-23 
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ 23-25 
หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage Device) 25
เรื่อง หน้า 
บทที่ 3 ขั้นตอนการดา เนินการ 26 
บทที่ 4 ผลการดาเนินโครงงาน 27 
บทที่ 5 สรุปผลการดาเนินงานละข้อเสนอแนะ 28
1 
บทที่1 
บทนา 
ที่มาและความสาคัญ 
ในยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทางออนไลน์ 
ให้ความทันสมัยความก้าวหน้าในยุคออนไลน์ 
เพื่อให้ความรวดเร็วในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะค้นหา 
และศึกษาเกี่ยวกับโครงงาน 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 
มีความตั้งใจในการทา โครงงานเรื่องนี้ เพื่อเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้ค้นคว้าหาความรู้ 
ในด้านการทา โครงงานเกี่ยวกับเรื่องระบบปฏิบัติการ (Operating System) 
วัตถุประสงค์ 
1. เพื่อการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 
2.เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้การศึกษาและความทันสมัยทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 
ขอบเขตการศึกษา 
1.ขอบเขตเรื่องเนื้อหา ระบบปฏิบัติการ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบปฏิบัติการ Operating System 
โปรแกรมประมวลผลคา คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ 
ผลที่คาดว่าจะได้รับ 
1.ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 
2.ได้เอาเทคนิคการคิดเรื่องระบบปฏิบัติการนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
3.ได้นา ความรู้ความสามารถเรื่องระบบปฏิบัติการมาใช้ในชีวิตประจา วัน
2 
บทที่2 
เอกสารที่เกี่ยวข้อง 
การจัดทา โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ มีเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้ 
1.ระบบปฏิบัติการ 
2.ความหมายของระบบปฏิบัติการ 
3.โปรแกรมประมวลผลคา 
4.คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ 
ระบบปฏิบัติการเบื้องต้น 
ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรม (Software)ที่ทา หน้าที่ ควบคุมการทา งานของ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง 
กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งระบบปฏิบัติการจะทา หน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรงและโปรแก 
รมการใช้งานต่าง ๆ 
ความหมายของระบบปฏิบัติการ 
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือ Operating System เรียกสั้น ๆ ว่า OS เป็นโปรแกรม 
ควบคุมการทา งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทา หน้าที่ควบคุมการทา งานต่างๆ เช่น การแสดงผล ข้อมูลการติดต่อกับผู้ใช้ 
โดยทา หน้าที่เป็นสื่อกลาง 
ระหว่างผู้ใช้กับเครื่องให้สามารถสื่อสารกันได้ควบคุมและจัดสรรทรัพยากรให้กับโปรแกรมต่างๆโดยทั่วไประบบคอมพิว 
เตอร์แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมประประยุกต์ และผู้ใช้ 
ระบบปฏิบัติการ(Operating System)ระบบต่างๆ 
การทา งานของคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทา งานด้วยตัวเองได้แต่จะต้องอาศัยโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์ทา งานซึ่งเรียกว่ 
า“ซอฟต์แวร์”(Software)โดยทั่วไปซอฟต์แวร์จะแบ่งเป็น2ประเภทคือโปรแกรมสา เร็จรูปและโปรแกรมระบบปฏิบัติการซึ่ 
งระบบปฏิบัติการนี้จะมีหน้าที่ในการจัดการและควบคุมการทา งานและอุปกรณ์ต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น 
การจัดการเกี่ยวกับการแสดงผลบนจอภาพ รับข้อมูลทางแป้นพิมพ์หรือเมาส์ การจัดการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล 
การจัดเก็บข้อมูลลงแฟ้มการติดตั้งโปรแกรม นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการยังช่วยสร้างส่วนติดต่อ 
ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ (User interface) ให้ง่ายต่อการใช้งาน ระบบปฏิบัติการมีอยู่หลาย ระบบ 
ซึ่งมีการพัฒนาจากผู้ผลิตหลายบริษัท แต่ที่สา คัญ ๆ มีดังนี้
3 
1.ระบบปฏิบัติการDOS(DiskOperating System) 
ระบบ DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM เพื่อให้เป็ระบบปฏิบัติการสา หรับเครื่องพีซี 
ซึ่งตัวโปรแกรมDOS จะถูก Load หรืออ่านจากแผ่นดิสก์เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจา ก่อน จากนั้น DOS 
จะไปทา หน้าที่เป็น ผู้ประสานงานต่าง ๆระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหลายโดยอัตโนมัติ โดยที่ DOS 
จะรับคา สั่งจากผู้ใช้หรือโปรแกรมแล้วนา ไปปฏิบัติตามโดยการทา งานจะเป็นแบบ Text mode 
สั่งงานโดยการกดคา สั่งเข้าไปที่ซีพร็อม (C:>)ดังนั้น ผู้ใช้ระบบนี้จึงต้องจา คา สั่งต่าง 
ๆในการใช้งานจึงจะสามารถใช้งานได้ ระบบปฏิบัติการ DOS ถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เก่าแก่ 
และปัจจุบันนี้มีการใช้งานน้อยมาก 
2.ระบบปฏิบัติการ(Microsoft Windows) 
Windowsเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งจะมีส่วนติดต่อกับ ผู้ใช้ (User interface) 
เป็นแบบกราฟิกหรือเป็นระบบที่ใช้รูปภาพแทนคา สั่ง เรียกว่า GUI (Graphic User Interface) 
โดยสามารถสั่งให้เครื่องทา งานได้โดยใช้เมาส์คลิกที่สัญลักษณ์หรือคลิกที่คา สั่งที่ต้องการ 
ระบบนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมได้มากกว่า 1 โปรแกรมในขณะเดียวกันซึ่งถ้าเป็นระบบ DOS 
หากต้องการเปลี่ยนไปทา งานโปรแกรมอื่น ๆ จะต้องออกจาก โปรแกรมเดิมก่อนจึงจะสามารถไปใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ 
ได้ ในลักษณะการทา งานของ Windows จะมีส่วนที่เรียกว่า “หน้าต่าง” 
โดยแต่ละโปรแกรมจะถือเป็นหน้าต่างหนึ่งหน้าต่าง ผู้ใช้สามารถ สลับไปมาระหว่างแต่ละหน้าต่างได้ นอกจากนี้ระบบ 
Windows ยังให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันได้ผ่านทางคลิปบอ์ด (Clipboard) ระบบ Windows 
ทา ให้ผู้ใช้ ทั่ว ๆไปสามารถทา ความเข้าใจ เรียนรู้และใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น 
3.ระบบปฏิบัติการ(Unix) 
Unixเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้บนเครื่อง SUN ของบริษัท SUN Microsystems แต่ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับบริษัท Microsoft 
ในเรื่องของระบบปฏิบัติการบนเครื่อง PCแต่อย่างใด แต่Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีแบบเปิด (Open 
system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้อง ผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรืออุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกัน นอกจากนี้ Unix 
ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ตอบสนองการใช้งานในลักษณะให้มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ 
(Multiuser system) และสามารถทา งานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลายภารกิจ 
(Multitasking system) 
4.ระบบปฏิบัติการ(Linux) 
Linuxเป็นระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับ DOS, Windows หรือ Unix โดยLinuxนั้นจัด ว่าเป็นระบบปฏิบัติการ Unix 
ประเภทหนึ่งการที่Linuxเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วงปี 1999 – 2000 เนื่องจากความสามารถของตัวระบบปฏิบัติ 
การและโปรแกรมประยุกต์ที่ทา งานบนระบบ Linux โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในตระกูลของ GNU (GNU’s Not 
UNIX) และสิ่งที่สา คัญที่สุดก็ คือระบบ Linux เป็นระบบปฏิบัติการประเภทฟรีแวร์ (Free ware) 
คือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อ โปรแกรม Linux นั้นมี นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลกช่วยกันแก้ไข ทา ให้การขยายตัวของ
4 
Linux เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของใจกลางระบบปฏิบัติการหรือ Kernel นั้นจะมีการพัฒนาเป็น รุ่นที่ 2.2 (Linux 
Kernel 2.2) ซึ่งได้เพิ่มขีดความสามารถและสนับสนุนการทา งานแบบหลายซีพียู หรือ SMP (Symmetrical Multi 
Processors) ซึ่งทา ให้ระบบLinux สามารถนา ไปใช้สา หรับทา งาน เป็น Saverขนาดใหญ่ได้ระบบ Linux ตั้งแต่รุ่น 4 นั้น 
สามารถทา งานได้บนซีพียูทั้ง 3 ตระกูล คือ บนซีพียูของ อินเทล (PC Intel) ดิจิทัลอัลฟาคอมพิวเตอร์ (Digital Alpha 
Computer และซันสปาร์ค (SUN SPARC) เนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า RPM (Red Hat Package Management) 
ถึงแม้ว่าขณะนี้ Linux ยังไม่สามารถแทนที่ Microsoft Windows บนพีซีหรือ Mac OS ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็มีผู้ใช้ 
จา นวนไม่น้อยที่สนใจมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บน Linux และเรื่องของการดูแลระบบ Linux นั้น 
ก็มีเครื่องมือช่วยสา หรับดา เนินการให้สะดวกยิ่งขึ้น 
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ 
คอมพิวเตอร์ทำ งำนอย่ำงเป็นระบบ (System) หมำยถึงภำยในระบบงำนคอมพิวเตอร์ 
ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยที่มีหน้ำที่เฉพำะ ทำ งำนประสำนสัมพันธ์กัน เพื่อให้งำนบรรลุตำมเป้ำหมำย 
ในระบบงำนคอมพิวเตอร์ 
กำรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงอย่ำงเดียว จะยังไม่สำมำรถทำ งำนได้ด้วยตัวเอง 
ซึ่งหำกจะให้คอมพิวเตอร์ทำ งำนได้อย่ำงเป็นระบบและมีประสิทธิภำพแล้ว 
ระบบคอมพิวเตอร์ควรจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบคือ บุคลำกร (Peopleware) ฮำร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ 
(Software) ข้อมูล(Data) 
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ฮำร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่องที่สำมำรถจับต้องได้ ได้แก่ วงจรไฟฟ้ำ ตัวเครื่อง 
จอภำพ เครื่องพิมพ์ คียบ์อร์ด เป็นต้นซึ่งสำมำรถแบ่งส่วนพื้นฐำนของฮำร์ดแวร์เป็น 4 หน่วยสำ คัญ 
1.1 หน่วยรับข้อมูลหรืออินพุต ( Input Unit)ทำ หน้ำที่รับข้อมูลและโปรแกรมเข้ำ ได้แก่ คีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์ เมำส์ 
เครื่องสแกน เป็นต้น 
1.2 ระบบประมวลผลกลางหรือซีพียู (CPU : Central Processing 
Unit)ทำ หน้ำที่ในกำรทำ งำนตำมคำ สั่งที่ปรำกฏอยู่ในโปรแกรม ปัจจุบันซีพียูของเครื่องพีซี 
รู้จักในนำมไมโครโปรเซสเซอร์ ( Micro Processor) หรือ Chip เช่นบริษัท Intel คือ Pentium หรือ Celelonส่วนของบริษัท 
AMD คือ K6,K7(Athlon) เป็นต้น ไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้ำที่ในกำรประมวลผลข้อมูล 
ในลักษณะของกำรคำ นวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำ งำนตำมจังหวะเวลำที่แน่นอน เรียกว่ำสัญญำณ Clock 
เมื่อมีกำรเคำะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เรำเรียกหน่วย ที่ใช้ในกำรวัดควำมเร็วของซีพียูว่ำ “เฮิร์ท” (Herzt) 
หมำยถึงกำรทำ งำนได้กี่ครั้งในจำ นวน 1 วินำที เช่น ซีพียู Pentium4 มีควำมเร็ว 2.5 GHz หมำยถึงทำ งำนเร็ว 2,500 ล้ำนครั้ง 
ในหนึ่งวินำที กรณีที่สัญญำณ Clock เร็วก็จะทำ ให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้น มีควำมเร็วสูง และ ซีพียูที่ทำ งำนเร็วมำก 
รำคำก็จะแพงขึ้นมำกตำมไปด้วย 
1.3 หน่วยเก็บข้อมูล ( Storage )ซึ่งสำมำรถแยกตำมหน้ำที่ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 
1.3.1 หน่วยเก็บข้อมูลหลักหรือควำมจำ หลัก ( Primary Storage หรือ Main Memory ) 
ทำ หน้ำที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมำจำกหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลำงทำ กำรประมวลผล 
และรับผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรประมวลผลเพื่อส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไปซึ่งอำจแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ RAM 
( Random Access Memory ) ที่สำมำรถอ่ำนและเขียนข้อมูลได้ในขณะที่เปิดเครื่องอยู่ แต่เมื่อปิดเครื่องข้อมูลใน RAM 
จะหำยไป และ ROM ( Read Only Memory ) จะอ่ำนได้อย่ำงเดียว เช่น BIOS (Basic Input Output system) 
โปรแกรมฝังไว้ใช้ตอนสตำร์ตเครื่อง เพื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มต้นทำ งำน เป็นต้น
5 
1.3.2 หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ( SecondaryStorage ) เป็นหน่วยที่ทำ หน้ำที่เก็บข้อมูล 
หรือโปรแกรมที่จะป้อนเข้ำสู่หน่วยควำมจำ หลักภำยในเครื่องก่อนทำ กำรประมวลผลโดยซีพียู 
รวมทั้งเป็นที่เก็บผลลัพธ์จำกกำรประมวลผลด้วย ปัจจุบันรู้จักในนำมฮำร์ดดิสก์ (Hard disk) หรือแผ่นฟร็อปปีดิสก์ (Floppy 
Disk) ซึ่งเมื่อปิดเครื่องข้อมูลจะยังคงเก็บอยู่ 
1.4 หน่วยแสดงข้อมูลหรือเอาต์พุต ( Output Unit )ทำ หน้ำที่ในกำรแสดงผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรประมวลผล ได้แก่ จอภำพ 
และเครื่องพิมพ์ เป็นต้น ทั้ง 4 ส่วนจะเชื่อมต่อกันด้วยบัส ( Bus ) 
2 ซอฟต์แวร์ ( Software ) 
ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมหรือชุดคำ สั่ง ที่สั่งให้ฮำร์ดแวร์ทำ งำน รวมไปถึงกำรควบคุมกำรทำ งำน 
ของอุปกรณ์แวดล้อมต่ำงๆ เช่น ฮำร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม กำร์ดอินเตอร์เฟสต่ำง ๆ เป็นต้น ซอฟต์แวร์ 
เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่รับรู้กำรทำ งำนของมันได้ ซึ่งต่ำงกับ ฮำร์ดแวร์ (Hardware) 
ที่สำมำรถจับต้องได้ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 
2.1ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software )คือโปรแกรม ที่ใช้ในกำรควบคุมระบบกำร ทำ งำนของ 
เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เช่น กำรบูดเครื่อง กำรสำ เนำข้อมูล กำรจัดกำรระบบของดิสก์ 
ชุดคำ สั่งที่เขียนเป็นคำ สั่งสำ เร็จรูปโดยผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีมำพร้อมแล้วจำกโรงงำนผลิต 
กำรทำ งำนหรือกำรประมวลผล ของซอฟต์แวร์เหล่ำนี้ ขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ระบบของซอฟต์แวร์เหล่ำนี้ 
ออกแบบมำเพื่อกำรปฏิบัติควบคุม และมีควำมสำมำรถในกำรยืดหยุ่น กำรประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ 
แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ 
2.1.1 โปรแกรมระบบปฏิบัติกำร (Operating System) เป็นโปรแกรมที่ใช้ควบคุม และติดต่อกับอุปกรณ์ต่ำง ๆ 
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพำะกำรจัดกำรระบบของดิสก์ กำรบริหำรหน่วยควำมจำ ของระบบ กล่ำวโดยสรุปคือ 
หำกจะทำ งำนใดงำนหนึ่ง โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ ในกำรทำ งำน แล้วจะต้องติดต่อกับซอฟต์แวร์ระบบก่อน 
ถ้ำขำดซอฟต์แวร์ชนิดนี้ จะทำ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่สำมำรถทำ งำนได้ ตัวอย่ำงของซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ 
โปรแกรมระบบปฏิบัติกำร UnixLinux DOS และWindows (เวอร์ชันต่ำง ๆ เช่น 95 98 me 2000 NT XP Vista ) เป็นต้น 
2.1.2 ตัวแปลภำษำ (Translator) จำก Source Code ให้เป็น Object Code (แปลจำกภำษำที่มนุษย์เข้ำใจ 
ให้เป็นภำษำที่เครื่องเข้ำใจ เปรียบเสมือนล่ำมแปลภำษำ) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในกำรแปลภำษำระดับสูง ซึ่ง 
เป็นภำษำใกล้เคียงภำษำมนุษย์ ให้เป็นภำษำเครื่องก่อนที่จะนำ ไปประมวลผล ตัวแปลภำษำแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 
คอมไพเลอร์ (Compiler) และอินเตอร์พีทเตอร์ (Interpeter) คอมไพเลอร์จะแปลคำ สั่งในโปรแกรมทั้งหมดก่อน 
แล้วทำ กำรลิ้ง (Link) เพื่อให้ได้คำ สั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ำใจ ส่วนอินเตอร์พีทเตอร์จะแปลทีละประโยคคำ สั่ง 
แล้วทำ งำนตำมประโยคคำ สั่งนั้น กำรจะเลือกใช้ตัวแปลภำษำแบบใดนั้น จะขึ้นอยู่กับภำษำที่ใช้ในกำรเขียนโปรแกรม 
ซึ่งมี 2 แบบได้แก่ ภำษำแบบโครงสร้ำง เช่น ภำษำเบสิก (Basic) ภำษำปำสคำล (Pascal) ภำษำซี (C) 
ภำษำจำวำ(Java)ภำษำโคบอล (Cobol) ภำษำ SQL ภำษำ HTML เป็นต้นภำษำแบบเชิงวัตถุ ( Visual หรือ Object Oriented 
Programming ) เช่น Visual Basic,Visual C หรือ Delphi เป็นต้น 
2.1.3 ยูติลิตี้ โปรแกรม (Utility Program) คือซอฟต์แวร์เสริมช่วยให้เครื่องทำ งำนมีประสิทธิภำพ มำกขึ้น เช่น 
ช่วยในกำรตรวจสอบดิสก์ ช่วยในกำรจัดเก็บข้อมูลในดิสก์ ช่วยสำ เนำข้อมูล ช่วยซ่อมอำกำรชำ รุดของดิสก์ 
ช่วยค้นหำและกำ จัดไวรัส ฯลฯ เป็นต้นโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม Norton Winzip Scan virus Sidekick Scandisk 
Screen Saverเป็นต้น
6 
2.1.4ติดตั้งและปรับปรุงระบบ (Diagonostic Program) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในกำรติดตั้งระบบ 
เพื่อให้คอมพิวเตอร์สำมำรถติดต่อและใช้งำนอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่นำ มำติดตั้งระบบ ได้แก่ โปรแกรม Setupและ Driver ต่ำง ๆ 
เช่น โปรแกรม Setup Microsoft Office โปรแกรม Driver Sound , Driver Printer , Driver Scanner เป็นต้น 
2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) 
ซอฟต์แวร์ประยุกต์คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ทำ ให้คอมพิวเตอร์ทำ งำนต่ำงๆ ตำมที่ผู้ใช้ต้องกำร 
ไม่ว่ำจะด้ำนเอกสำร บัญชี กำรจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สำมำรถจำ แนก 
ได้เป็น 2 ประเภท คือ 
2.2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงำนเฉพำะด้ำน (Special Purpose Software) คือ 
โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อกำรทำ งำนเฉพำะอย่ำงที่เรำต้องกำร บำงที่เรียกว่ำ User’s Program เช่น 
โปรแกรมกำรทำ บัญชีจ่ำยเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่ำซื้อ โปรแกรมกำรทำ สินค้ำคงคลัง เป็นต้น 
ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่ำงกันออกไปตำมควำมต้องกำร 
หรือกฏเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงำนที่ใช้ ซึ่งสำมำรถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบำงส่วนของโปรแกรมได้ 
เพื่อให้ตรงกับควำมต้องกำรของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภำษำระดับสูงเป็นตัวพัฒนำ 
2.2.2 ซอฟต์แวร์สำ หรับงำนทั่วไป (General Purpose Software) เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำ ไว้ 
เพื่อใช้ในกำรทำ งำนประเภทต่ำงๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สำมำรถนำ โปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ 
แต่จะไม่สำมำรถทำ กำรดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำ เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นกำรประหยัดเวลำ 
แรงงำน และค่ำใช้จ่ำยในกำรเขียนโปรแกรม นอกจำกนี้ ยังไม่ต้องเวลำมำกในกำรฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำ เร็จรูปนี้ 
มักจะมีกำรใช้งำนในหน่วยงำน ซึ่งขำดบุคลำกรที่มีควำมชำ นำญเป็นพิเศษในกำรเขียนโปรแกรม ดังนั้น 
กำรใช้โปรแกรมสำ เร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำ นวยควำมสะดวกและเป็นประโยชน์อย่ำงยิ่ง 
ตัวอย่ำงโปรแกรมสำ เร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ 
เกมส์ต่ำงๆ เป็นต้น 
3 บุคลากร ( Peopleware ) 
บุคลำกรจะเป็นสิ่งสำ คัญที่จะเป็นตัวกำ หนดถึงประสิทธิภำพถึงควำมสำ เร็จและควำมคุ้มค่ำในกำรใช้งำนคอมพิวเตอร์ 
ซึ่งสำมำรถแบ่งบุคลำกรตำมหน้ำที่เกี่ยวข้องตำมลักษณะงำนได้ 6 ด้ำน ดังนี้ 
3.1 นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (Systems Analyst and Designer : 
SA )ทำ หน้ำที่ศึกษำและรวบรวมควำมต้องกำรของผู้ใช้ระบบ 
และทำ หน้ำที่เป็นสื่อกลำงระหว่ำงผู้ใช้ระบบและนักเขียนโปรแกรม (Programmer) หรือปรับปรุงคุณภำพงำนเดิม 
นักวิเครำะห์ระบบต้องมีควำมรู้เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ พื้นฐำนกำรเขียนโปรแกรม 
และควรจะเป็นผู้มีควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรค์มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 
3.2 โปรแกรมเมอร์ 
( Programmer )คือบุคคลที่ทำ หน้ำที่เขียนซอฟต์แวร์ต่ำงๆ(Software )หรือเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งงำนให้เครื่องคอมพิวเตอ 
ร์ทำ งำนตำมควำมต้องกำรของผู้ใช้ โดยเขียนตำมแผนผังที่นักวิเครำะห์ระบบได้เขียนไว้ 
3.3 ผู้ใช้ ( User )เป็นผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ 
ซึ่งจะเป็นผู้ปฏิบัติหรือกำ หนดควำมต้องกำรในกำรใช้ระบบคอมพิวเตอร์ว่ำทำ งำนอะไรได้บ้ำงผู้ใช้งำนคอมพิวเตอร์ทั่วไป 
จะต้องเรียนรู้วิธีกำรใช้เครื่อง และวิธีกำรใช้งำนโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สำมำรถทำ งำนได้ตำมที่ต้องกำร 
3.4 ผู้ปฏิบัติการ (Operator )สำ หรับระบบขนำดใหญ่ เช่น เมนเฟรม 
จะต้องมีเจ้ำหน้ำที่คอมพิวเตอร์ที่คอยปิดและเปิดเครื่อง และเฝ้ำดูจอภำพเมื่อมีปัญหำซึ่งอำจเกิดขัดข้อง จะต้องแจ้ง 
System Programmer ซึ่งเป็นผู้ดูแลตรวจสอบแก้ไขโปรแกรมระบบควบคุมเครื่อง (System Software) อีกทีหนึ่ง
7 
3.5 ผู้บริหารฐานข้อมูล ( Database Administrator : DBA )กลุ่มบุคคลที่ทำ หน้ำที่ดูแลข้อมูลผ่ำนระบบจัดกำรฐำนข้อมูล 
ซึ่งจะควบคุมให้กำรทำ งำนเป็นไปอย่ำงรำบรื่น นอกจำกนี้ยังทำ หน้ำที่กำ หนดสิทธิกำรใช้งำนข้อมูล 
กำ หนดในเรื่องควำมปลอดภัยของกำรใช้งำน พร้อมทั้งดูแลดำต้ำเบสเซิร์ฟเวอร์ (Database Server) 
ให้ทำ งำนอย่ำงปกติด้วย 
3.6 ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือ ผู้วำงนโยบำยกำรใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตำมเป้ำหมำยของหน่วยงำน 
เป็นผู้ที่มีควำมหมำยต่อควำมสำ เร็จหรือล้มเหลวของกำรนำ ระบบคอมพิวเตอร์เข้ำมำใช้งำนเป็นอย่ำงมำก 
4. ข้อมูล 
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วใช้ตัวเลขตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ต่างๆ 
ทา ความหมายแทนสิ่งเหล่านั้น 
ข้อมูล คือค่าของตัวแปรในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ที่อยู่ในความควบคุมของกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ 
ข้อมูลในเรื่องการคอมพิวเตอร์ (หรือการประมวลผลข้อมูล) จะแสดงแทนด้วยโครงสร้างอย่างหนึ่ง 
ซึ่งมักจะเป็นโครงสร้างตาราง (แทนด้วยแถวและหลัก) โครงสร้างต้นไม้ (กลุ่มของจุดต่อที่มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูก) 
หรือโครงสร้างกราฟ (กลุ่มของจุดต่อที่เชื่อมระหว่างกัน) 
ข้อมูลโดยปกติเป็นผลจากการวัดและสามารถทา ให้เห็นได้โดยใช้กราฟหรือรูปภาพ 
ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอันหนึ่ง 
อาจมองได้ว่าเป็นระดับต่า ที่สุดของภาวะนามธรรมที่สืบทอดเป็นสารสนเทศและความรู้ ข้อมูลดิบ หรือ 
ข้อมูลที่ยังไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อีกคา หนึ่งที่เกี่ยวข้อง หมายถึงการรวบรวมจา นวนและอักขระต่าง ๆ 
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามปกติในการประมวลผลข้อมูลเป็นระยะ และ ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว จากระยะหนึ่งอาจถือว่าเป็น 
ข้อมูลดิบ ของระยะถัดไปก็ได้ ข้อมูลสนามหมายถึงข้อมูลดิบที่รวบรวมมาจากสภาพแวดล้อม ณ แหล่งกา เนิด 
ที่ไม่อยู่ในการควบคุม 
ข้อมูลเชิงทดลองหมายถึงข้อมูลที่สร้างขึ้นภายในสภาพแวดล้อมของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยการสังเกตและการบั 
นทึก 
โปรแกรมประมวลคา 
โปรแกรมประมวลคา หรือระบบจัดเตรียมเอกสาร(Document Preparation System) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยุกต์ 
ใช้ในการผลิตเอกสารที่พิมพ์ออกมา ได้ ซึ้งรวมถึงกระบานการเขียน แก้ไข จักรูปแบบ และพิมพ์ 
การประมวลคา ในการทา งานยุคแรกของคอมพิวเตอร์สา นักงานโปรแกรมประมวลคา เชิงพาณิชย์ที่เป็นที่นิยมได้แก่ 
ไมโครซอฟท์ เวิร์ด เวิร์ดเพอร์เฟกต์ โปรแกรมโอเพนซอสร์ส เช่น โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก ไรเตอร์และเคเวิร์ด 
และโปรแกรมประมวลคา เช่น โปรแกรมประมวลคา ออนไลน์ เช่น กูเกิลดอกส์
8 
ประเภทของโปรแกรมประมวลผลคา 
โปรแกรมประมวลผลคาแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 
1. เวิร์ดโพรเซสเซอร์ (Word Processor) เป็นโปรแกรมประมวลผลคา ที่ทา งานด้านการพิมพ์เอกสารการสร้างตาราง 
การจัดหน้าเอกสาร การจัดคอลัมน์ การจัดรูแบบอักษร (Font) สามารถใส่ภาพกราฟิก (Graphic) หรือแผนภุมิลงในเอกสาร 
โปรแกรมที่นิยมใช้ได้แก่ โปรแกรมไมโคซอฟต์เวิร์ด(Microsoft Word) 
2. เท็กซ์อิดิเตอร์(TextEditor) เป็นโปรแกรมประมวลผลคา ขนาดเล็กใช้สา หรับการพิมพ์และแก้ไขเอกสารคา สั่งต่างๆซึ่งมีรู 
ปแบบการใช้งาน เช่นลักษณะตัวหนา (Bold) ตัวเอียง 
(Italic) ขนาดตัวอักษรไม่มากเหมือนกับเวิร์ดโพรเซสเซอร์แต่สามารถพิมพ์ข้อความในเอกสารเก็บบันทึกสั่งพิมพ์ออกทางเ 
ครื่องพิมพ์ได้เท็กซ์อิดิเตอร์ที่นิยมใช้ ได้แก่ โปรแกรม WordPad โปรแกรม Notepad 
ความสาคัญของโปรแกรมประมวลผลคา 
ปัจจุบันสา นักงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการนา โปรแกรมประมวลผลคา มาใช้ในการพิมพ์เอกสารและรายงานต่างๆแท 
นเครื่องพิมพ์ดีดมากขึ้นทั้งนี้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาความสามารถของตัวประมวลผลหรือโพเซสเซอร์(Processor) แลประสิทธิภาพการเก็บข้อมูล 
ของหน่วยเก็บข้อมูลสารองต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์เกตต์ ที่มีรวมถึงการผลิตเครื่องพิมพ์ 
(Printer)ความเร็วสูงประกอบกับราคาเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทา ให้สา นักงานต่างๆหันมา 
ใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลข้อมูล ซึ่งสามารถจัดทา เอกสาร บทความ
9 
ตลอดจนรายงานได้อย่างรวดเร็วโดยสามารถจัดข้อความและเลือกแบบอักษร แก้ไข เพิ่มเติม ปรับปรุง 
แทรกข้อความรวมข้อความหรือเอกสารจัดขอบกระดาษและตรวจดูเอกสารก่อนที่จะพิมพ์เอกสารจริงออกมานอกจากนี้ยัง 
สามารถบันทึกเอกสารต่างๆ ตลอดจนเรียกใช้งานแฟ้มข้อมูลที่ได้เก็บบันทึกไว้ ขึ้นมาใช้งานในภายหลังได้ 
ประโยชน์ของโปรแกรมประมวลผลคา 
1. ช่วยให้การจัดเก็บและค้นหาเอกสารมีความรวดเร็วมากขึ้นเพราะงานเอกสารต่างๆ 
จะถูกจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆสามารถค้นหาและเรียกใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว 
2. ช่วยลดปริมาณกระดาษที่จัดเก็บทา ให้ประหยัดพื้นที่ในการเก็บเอกสารเพราะเอกสารจะถูกจัดเก็บอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูล 
ต่างๆที่มีขนาดเล็กแต่มีความจุในการเก็บข้อมูลได้เป็นจา นวนมาก 
3.ช่วยลดขั้นตอนในการจัดทา เอกสาร
10 
เช่นถ้าต้องการส่งจดหมายที่มีข้อความเหมือนกันไปให้ผู้รับจดหมายเป็นจา นวนมากอาจทา ได้โดยการจัดทา จดหมายเวียน 
ซึ่งมีขั้นตอนการทา ที่สะดวกและรวดเร็ว 
ซึ่งถ้าหากใช้เครื่องพิมพ์ดีดก็อาจจะต้องเสียเวลาในการจัดทา มาก 
4. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์เอกสาร 
5. ช่วยสร้างเอกสารให้มีความสวยงาม ทั้งนี้เพราะผู้ใช้สามารถนา รูปภาพรูปวาด ภาพกราฟิกต่าง ๆ 
มาแทรกลงในเอกสารได้โดยตรง 
6. ช่วยให้การทา งานกับเอกสารถูกต้องและมีข้อผิดพลาดลดน้อยลง 
เพราะผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารได้โดยตรงบนหน้าจอจนพอใจจึงจะสั่งพิมพ์เอกสารออกทางเค 
รื่องพิมพ์ได้ 
หรือาจใช้ระบบการตรวจสอบคา ผิดแบบอัตโนมัติ 
ในการตรวจสอบการสะกดคา หรือไวยากรณ์ของภาษาได้ 
คุณสมบัติโดยทั่วไปของโปรแกรมประมวลคา 
อีกทั้งกา หนดขนาดและรูปแบบตัวอักษรได้หลายแบบและยังมีชุดตัวอักษรให้เลือกหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือก 
ใช้ได้ตามความพอใจและตามความเหมาะสมของเอกสารส่วนการจัดหน้าเอกสารนั้นโปรแกรมประมวลผลคา สามารถคว 
บคุมการจัดวางหน้าใหม่โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการแก้ไขเอกสาร เช่น 
การกา หนดให้ข้อความในบรรทัดเริ่มที่เส้นขอบซ้ายตรงกันหรือกา หนดให้ข้อความอยู่ตรงกลางของบรรทัด เป็นต้น
11 
เครื่องมือช่วยในการทา จดหมายเวียนและจ่าหน้าซองจดหมาย เครื่องมือนี้จะช่วยสร้างจดหมายหลักไว้หนึ่งฉบับพร้อมทั้ง 
กา หนดตา แหน่งที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลและสร้างแฟ้มข้อมูลสา หรับบันทึกชื่อและที่อยู่ของผู้รับไว้เมื่อสั่งพิมพ์จดหมายเวีย 
นนั้นหรือจ่าหน้าซองจดหมายโปรแกรมจะนา ข้อมูลมาใส่ในตา แหน่ง ที่กา หนดไว้ให้อย่างอัตโนมัติจนครบทุกคนในปัจจุ 
บันโปรแกรมประมวลผลคา มีการพัฒนาไปอย่างมาก คือ มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยในการพิมพ์ หรือสร่างเอกสารเป็นพิเศษ 
เช่น งานสร้างตาราง การจัดแบ่งข้อความเป็นคอลัมน์ การตรวจสอบตัวสะกด 
การตรวจสอบไวยากรณ์การแทรกรูปภาพลงในเอกสาร การใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น 
ๆและความสามารถในการสร้างเว็บเพจ ดังนั้นโปรแกรมประมวลผลคา จึงถูกนา มาใช้แทนการใช้เครื่องพิมพ์ดีด 
และสามารถใช้วานเสมือนโรงพิมพ์ตั้งโต๊ะ 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft office word 2010 
เริ่มต้นการใช้งาน Microsoft office word 2010 
โปรแกรม Microsoft Word เป็นโปรแกรมจัดทา เอกสารที่มีความนิยมอย่างมาก หลายหน่วยงาน หลายองค์กร 
ทั้งภาครัฐและเอกชนนิยมใช้โปรแกรมนี้ ในการจัดทา เอกสารหลายรูปแบบ เช่น หนังสือ แผ่นพับ แผ่นปลิว โปสเตอร์ 
เป็นต้น จะเรียกได้ว่า เป็นโปรแกรมพื้นฐานสา หรับสา นักงานที่มีความจา เป็นที่บุคลากรขององค์กร 
หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องมีความรู้ 
มีทักษะในการใช้โปรแกรมได้เป็นอย่างดี จึงจะช่วยให้การทา งานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น 
การเริ่มต้นใช้งาน Microsoft Word เริ่มด้วยการเปิดโปรแกรม Microsoft Word ดังนี้ 
1.คลิกที่ Start > Programs > Microsoft Office > Microsoft Word 2010
12 
2. จะเปิดหน้าต่างโปรแกรม Microsoft Word 2010 
การสร้างเอกสารใหม่ 
การเริ่มต้นสร้างงานเอกสาร เราต้องเปิดหรือสร้างเอกสารใหม่ได้ขึ้นมาก่อน โดยมีขั้นตอนดังนี้ 
1.ไปที่แฟ้ม >คลิกสร้าง 
2. เปิดหน้าต่าง เลือกแม่แบบที่มีอยู่ >เอกสารเปล่า >คลิกสร้าง จะได้เอกสารเปล่าเพื่อพร้อมที่จะพิมพ์งาน 
การเปิดเอกสารเก่าใช่งาน 
เมื่อเรามีเอกสารเก่า หรือไฟล์งานเดิมที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องการที่จะเปิดขึ้นมาใช้งาน หรือทา งานต่อ 
มีวิธีการดังนี้ 
1.เปิดโปรแกรม Microsoft Word 2010 โดย คลิกที่ Start > Programs > Microsoft Office > Microsoft Word 2010 
2.เมื่อโปรแกรม word เปิดขึ้น คลิกที่แฟ้ม 
3.โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง เปิด ให้เลือกว่าไฟล์ word อยู่ที่ไหน มองหาใน จะตั้งค่าที่ MY Document เสมอ 
เราต้องรู้ว่าไฟล์ word ของเราชื่ออะไร เก็บไว้ในไดร์ฟไหน โฟลเดอร์ไหน เลือกที่อยู่ให้ถูกและเลือกไฟล์ 
แล้วคลิกเปิด 
4.อีกวิธีการหนึ่ง คือ เปิดโปรแกรม word คลิกที่แฟ้ม >จะมองเห็นเอกสารล่าสุด ถ้ามีชื่อ เอกสารที่เราจะใช้งาน 
ก็คลิกเปิดได้เลย 
การบันทึกข้อมูล 
ในการทา งานโปรแกรม word เราควรจะคลิกปุ่มบันทึก บนแท็บ ไว้เรื่อย ๆ เพื่อป้องกันงานสูญหาย เนื่องจาก 
ไฟดับ ปลั๊กหลุด หรือเครื่องแฮงค์ เป็นต้น 
การบันทึกงานครั้งแรก ให้ทา งานขั้นตอนดังนี้ 
1. คลิกที่ไอคอนบันทึก โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง บันทึกเป็น 
2. ในช่องบันทึกใน ให้คลี่สามเหลี่ยมเล็ก ๆ ลงมาเพื่อเลือกบันทึกงานว่าเก็บไว้ที่ใด ไดร์ฟไหน โฟลเดอร์ใด 
3. ในช่องชื่อแฟ้ม ให้ตั้งชื่อไฟล์ 
4. แล้วคลิกบันทึก 
นอกจากนี้ การบันทึกไฟล์งาน นอกจากจะคลิกที่ปุ่มบันทึก แล้วยังสามารถบันทึกได้โดย 
1. ไปที่แท็บ แฟ้ม>คลิกบันทึก 
2. โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง เปิด ให้เลือกบันทึกใน ไดร์ฟหรือโฟลเดอร์ไหน และตั้งชื่อไฟล์ก่อนคลิกบันทึก 
เหมือนวิธีเดียวกับคลิกบันทึกจากปุ่มบันทึก 
3. การบันทึกอีกรูปแบบหนึ่ง คือ บันทึกเป็น ใช้ในกรณีที่เราต้องการเปลี่ยนที่เก็บ หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์การแทรกข้อความ
13 
เมื่อเราพิมพ์งานหรือจัดหน้าเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เราต้องการจะเพิ่มเติมข้อมูลที่คิดว่าเป็นประโยชน์ 
เราสามารถทา ได้ ดังนี้ 
1.คลิกตั้งเคอร์เซอร์บริเวณที่จะเติมข้อความ 
2. สาหรับข้อความที่จะเติมเราสามารถพิมพ์เติมเข้าไปได้เลยหรือไป copy มาจากที่อื่นก็ได้ โดยป้ายเลือกบริเวณที่ต้องการ 
ให้เกิดแถบสี แล้วคลิกขวา >คัดลอก 
3. เมื่อคัดลอกมาแล้ว เราจะนา มาวางตรงที่ตั้งเคอร์เซอร์ไว้ ให้คลิกขวา >เลือกตัวเลือกการวาง 
4. การวางข้อความ/ภาพที่ copy มามีตัวเลือกการวางหลายลักษณะ ดังนี้ 
-ใช่ชุดรูปแบบปลายทาง 
-รักษาการจัดรูปแบบตามต้นฉบับ 
-ผสานการจัดรูปแบบ 
-เก็บข้อความเท่านั้น 
-รูปภาพ 
-วางแบบพิเศษ 
การวางแบบพิเศษ สามารถเลือกรูปแบบเอกสารที่จะวางได้ตามตัวเลือก เมื่อเลือกได้แล้วคลิกตกลง 
5. เมื่อเลือกลักษณะการวางได้ตามต้องการแล้ว ก็จะปรากฏข้อความที่ copy มา 
การเลื่อนไปส่วนตัวต่าง ๆ ของเอกสาร 
การเลื่อนไปยังส่วนต่าง ๆ ของเอกสาร ทา ได้หลายวิธีการ ดังนี้ 
1. เลื่อนขึ้น-ลง ไปยังส่วนต่าง ๆ หรือหน้าต่างของเอกสารโดยใช้ แถบเลื่อน (Scroll Bar) 
2. ใช้ลูกศรขึ้น และลูกศรลง ที่อยู่ด้านข้างทางขวามือของหน้าจอ คลิกขึ้น-ลง เพื่อเลือกหน้าที่ต้องการ 
3. ใช้ลูกศรคลิกไปหน้าก่อน และหน้าถัดไป 
4. คลิก วงกลมเพื่อเลือกลักษณะการเรียกดู ดังภาพ
14 
5. เลือกไปที่ ดังภาพ 
6. จะเปิดหน้าต่าง ค้นหาและแทนที่ ให้กา หนดว่า จะไปหน้าไหน ให้ใส่หมายเลขหน้าตามที่ต้องการ 
7. สมมติว่า จะไปหน้า 1 ก็ใส่เลข 1 แล้วคลิกปุ่ม ไปที่ 
การออกจากโปรแกรม 
เมื่อพิมพ์เอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราบันทึกงานเก็บตามขั้นตอนและต้องการจะออกจากโปรแกรม 
มีหลายวิธีการดังนี้ 
วิธีที่1ไปที่แท็บแฟ้ม เลือกจบการทา งาน โปรแกรมจะปิดตัวเอง ออกจากโปรแกรม Microsoft Word 
วิธีที่2 คลิกที่เครื่องหมายกากบาทสีแดง ที่มุมบนขวามือของหน้ากระดาษโปรแกรมจะปิดตัวเอง ออกจากโปรแกรม 
Microsoft Word 
คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ 
คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทที่สา คัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบันแทบทุกวงการล้วนนา 
คอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้งานจนกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่สา คัญอย่างยิ่งต่อการ
15 
ดา เนินชีวิตและการทา งานในชีวิตประจา วันฉะนั้นการเรียนรู้เพื่อทา ความรู้จักกับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่ 
มีความจา เป็นเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่จะทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไรทา งานอย่างไร 
และมีความสา คัญต่อมนุษย์อย่างไรเราจึงควรทา การศึกษาในหัวข้อต่อไปนี้ 
ความหมายของคอมพิวเตอร์ 
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computareซึ่งหมายถึง การนับหรือ การคา นวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 
พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทา หน้าที่เหมือนสมองกล 
ใช้สาหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์ 
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทา งานแทนมนุษย์ในด้านการคิดคา นวณและสามารถจา ข้ 
อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็ว 
สูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก 
อาทิเช่นการเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ 
การรับส่งข้อมูลการจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 
การทางานของคอมพิวเตอร์
16 
คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตามจะมีลักษณะการทา งานของส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ โด 
ยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input Process และ output ซึ่งมีขั้นตอนการทา งานดังภาพ 
ข้นัตอนที่1 รับข้อมูลเข้า (Input) 
เริ่มต้นด้วยการนา ข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ 
แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) 
เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่องถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) 
โดยมีปากกาชนิดพิเศษสาหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) 
สา หรับเคลื่อนตา แหน่งของการเล่นบนจอภาพเป็นต้น 
ขั้นตอนที่2 ประมวลผลข้อมูล (Process) 
เมื่อนา ข้อมูลเข้ามาแล้วเครื่องจะดา เนินการกับข้อมูลตามคา สั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ 
ต้องการการประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่างเช่น นาข้อมูลมาหาผลรวม นาข้อมูลมาจัดกลุ่ม 
นาข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น 
ขั้นตอนที่3 แสดงผลลัพธ์ (Output) 
เป็นการนา ผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กา หนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ 
หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้
17 
ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์ 
1.หน่วยเก็บ(Storage)หมายถึงความสามารถในการเก็บข้อมูลจา นวนมากและเป็นเวลานานนับเป็น 
จุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทา งานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของค 
อมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย 
2.ความเร็ว(Speed)หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูล(ProcessingSpeed) 
โดยใช้เวลาน้อยเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุดเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิ 
วเตอร์ที่สา คัญส่วนหนึ่งเช่นกัน 
3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) 
หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลา ดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติโดยมนุษย์มีส่ 
วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกา หนดโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น 
4. ความน่าเชื่อถือ (Sure) 
หมายถึงความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้องความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสา คัญที่สุดในการทา งานของเค 
รื่องคอมพิวเตอร์ 
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ 
จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการทา ให้ถูกนา มาใช้ประโยชน์ต่อการดา เนินชีวิตประจา วันในสังคมเป็นอย่ 
างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงานเอกสารต่างๆ 
ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ 
อีกหลายด้านดังต่อไปนี้ 
1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทา บัญชี
18 
งานประมวลคา และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม 
นอกจากนี้งานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนของอุปกร 
ณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ซึ่งทา ให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ 
หรืองานธนาคารที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน 
และการโอนเงินระหว่างบัญชีเชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย 
2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ 
และงานสาธารณสุขสามารถนา คอมพิวเตอร์มาใช้ในนา มาใช้ในส่วนของการคา นวณที่ค่อนข้างซับซ้อน 
เช่นงานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียนการเงิน สถิติ 
และเป็นอุปกรณ์สา หรับการตรวจรักษาโรคได้ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยา กว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิมและให้การรักษาได้รว 
ดเร็วขึ้น 
3. งานคมนาคมและสื่อสารในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา 
ที่นั่งซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ทา ให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ 
อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจรเช่น ไฟสัญญาณจราจร และ 
การจราจรทางอากาศหรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจรซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสั 
ญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน 
4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ 
หรือจา ลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น 
การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหวโดยคอมพิวเตอร์จะคา นวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงควา 
มจริงรวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือผลการทา งาน 
5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุดโดยมีการใช้หลายรูปแบบ 
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่นกระทรวงศึกษาธิการ 
มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , 
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ ,
19 
กรมสรรพากรใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น 
6. การศึกษา 
ได้แก่การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอนซึ่งมีการนา คอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณ์บทเรียน CAI 
หรืองานด้านทะเบียนซึ่งทา ให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียนการเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด 
ลักษณะของคอมพิวเตอร์ 
เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจา กัดของมนุษย์มีดังนี้ 
1. หน่วยเก็บ (Storage) หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจา นวนมากและเป็นเวลานาน 
นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทา งานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ 
ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย 
2. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed)โดยใช้เวลาน้อย 
เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วน เกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สา คัญส่ 
วนหนึ่งเช่นกัน เช่นกัน 
3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึง 
ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลา ดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ 
โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกา หนดโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น 
4. ความน่าเชื่อถือ (Sure) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง 
ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสา คัญที่สุดในการทา งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ 
ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลที่มนุษย์กา หนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ 
หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน 
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ 
1.ความเป็นอัตโนมัติ ( Self Acting) คอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ 
มีการจัดเก็บหรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ
20 
การประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะทา งานแบบอัตโนมัติภายใต้คา สั่งที่ได้ถูกกา หนดไว้ 
การทา งานดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การนา ข้อมูลเข้าสู่ระบบ 
การประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ออกมาให้อยู่ในรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ 
2.ความเร็ว ( Speed) คอมพิวเตอร์จะประมวลผลงานด้วยความเร็วสูง 
ต่างจากการประมวลผลงานในอดีตที่อาศัยแรงงานของมนุษย์ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ล่าช้ากว่ามาก งาน ๆ 
หนึ่งหากใช้แรงงานคนอาจเสียเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการคิดและประมวลผล 
แต่หากนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้อาจลดเวลาและให้ผลลัพธ์ได้เพียงไม่กี่นาที 
ความรวดเร็วในการประมวลผลดังกล่าวมีความจา เป็นอย่างมากต่อการดา เนินงานธุรกรรมในปัจจุบัน 
ผลลัพธ์ที่ได้จากการคา นวณด้วยคอมพิวเตอร์ 
ช่วยให้ผู้บริหารนา เอาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหรือดา เนินงานได้อย่างรวดเร็ว 
3.ความถูกต้อง แม่นยา ( Accuracy) คอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง แม่นยา และมีความผิดพลาดน้อยที่สุด 
การใช้แรงงานคนเพื่อประมวลผลเป็นเวลานาน อาจเกิดการผิดพลาดได้ เนื่องมาจากความอ่อนล้า เช่น ลงรายการผิด 
หรือบันทึกข้อมูลผิดประเภท ตรงกันข้ามกับคอมพิวเตอร์ที่สามารถทา งานได้อย่างต่อเนื่องและซ้า ๆ 
แบบเดิมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการป้อนข้อมูลเข้าที่ถูกต้องด้วย 
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามานั้นเป็นอย่างไร ผิดหรือถูก หากมีการป้อนข้อมูลผิด 
โปรแกรมหรือชุดคา สั่งอาจประมวลผลตามที่ได้รับข้อมูลมาเช่นนั้น 
ซึ่งความไม่ถูกต้องดังกล่าวไม่ใช่เป็นความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ หากเป็นความผิดพลาดของฝั่งผู้ใช้เอง เป็นต้น 
4.ความน่าเชื่อถือ ( Reliability) ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ 
จะมีความน่าเชื่อถือและสามารถนาไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อไปได้ 
โดยเฉพาะในปัจจุบันมีฮาร์ดแวร์ที่ผลิตขึ้นด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ 
มีการคิดค้นและพัฒนาให้ดีกว่ายุคสมัยก่อนที่มีการใช้เพียงแค่หลอดสุญญากาศ 
การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจึงมีความผิดพลาดต่า มากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย 
นั่นคือการมีความน่าเชื่อถือสูงนั่นเอง 
5.การจัดเก็บข้อมูล ( Storage Capability) คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ 
ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความธรรมดาหลาย ๆ ล้านตัวอักษร เพลง ภาพถ่าย วิดีโอ หรือไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่จา นวนมาก 
โดยมีหน่วยเก็บข้อมูลเฉพาะเป็นของตนเอง ช่วยให้การจัดเก็บและถ่ายเทข้อมูลเป็นไปได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น 
ปัจจุบันมักพบเห็นหน่วยเก็บข้อมูลที่จุข้อมูลได้มากขึ้นและมีราคาที่ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก 
6.ทา งานซ้า ๆ ได้ ( Repeatability) คอมพิวเตอร์สามารถทา งานซ้า ๆ กันได้หลายรอบ 
ช่วยลดปัญหาเรื่องความอ่อนล้าจากการทา งานของแรงงานคน นอกจากนั้นยังลดความผิดพลาดต่าง ๆ ได้ดีกว่าด้วย 
ข้อมูลที่ประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม จะสามารถคา นวณและหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว 
การคิดหาผลลัพธ์ของงานที่มีลักษณะซ้า ๆ แบบเดิม เช่น การบันทึกรายการบัญชีประจา วัน การลงรายการสินค้าเข้า
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน
โครงาน

Contenu connexe

Tendances

โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างpranpreya258
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างpranpreya258
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงานknokrat
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkat55
 
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นโครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นkvcthidarat
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์jamiezaa123
 
โครงงานโปรเจ็คเวิร์ค
โครงงานโปรเจ็คเวิร์คโครงงานโปรเจ็คเวิร์ค
โครงงานโปรเจ็คเวิร์คNichakarnkvc
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .jamiezaa123
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการBuslike Year
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงานsasitorn256
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง25580994969502
 

Tendances (15)

โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นโครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
โครงงาน ระดับ ปวช. วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานโปรเจ็คเวิร์ค
โครงงานโปรเจ็คเวิร์คโครงงานโปรเจ็คเวิร์ค
โครงงานโปรเจ็คเวิร์ค
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ .
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558
โครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่าง2558
 

Similaire à โครงาน

โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas55
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการkarakas14
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์oiw1234
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ jamiezaa123
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ jamiezaa123
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ jamiezaa123
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์Peem Jirayut
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์NeNo Srimueagbun
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์Peem Jirayut
 
โครงงานเผยแพร่
โครงงานเผยแพร่โครงงานเผยแพร่
โครงงานเผยแพร่Teerapath Best
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอมkaakvc
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงานsasitorn256
 

Similaire à โครงาน (19)

โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการโครงงาน ระบบปฏิบัติการ
โครงงาน ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่ิอง ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ระบบปฏิบัติการ
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์
 
โครงงานเผยแพร่
โครงงานเผยแพร่โครงงานเผยแพร่
โครงงานเผยแพร่
 
333333333
333333333333333333
333333333
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 

โครงาน

  • 1. โครงงาน (Project Work) โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ เสนอ อาจารย์ ธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห์ จัดทา โดย นาย ภาคิน คุณดวง นาย กนกพล นาเม็ง นางสาว วานุพร ภูขาว พณ.1/12 รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการเบื้องต้น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น
  • 2. เรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ ประเภทโครงงาน โครงงานเผยแพร่ความรู้ออนไลน์ ระดับชั้น ปวช.1 โดย นาย ภาคิน คุณดวง นาย กนกพล นาเม็ง นางสาว วานุพร ภูขาว สถานศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น ครูที่ปรึกษา คุณครูธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห ์ ปีการศึกษา 2557 บทคัดย่อ โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ จัดทา ขึ้นเพื่อจุดประสงค์ 1. เพื่อเผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 2. เพื่อการศึกษาหาความรู้ทางด้านออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ การพัฒนาความก้าวของการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ การเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ ในการจัดทา รายงานประกอบสื่อสารเรียนรู้ในครั้งนี้ ผู้จัดทา ขอขอบคุณ อาจารย์ ธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห์ ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา เพื่อนๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอดผู้จัดทา หวังว่ารายงานฉบับนี้จะได้ให้ความรู้และประโยชน์มากมายในการเรื่องรู้ เรื่องระบบปฏิบัติการ
  • 3. กิตติกรรมประกาศ โครงงานนี้สา เร็จได้ด้วยความกรุณาของ อาจารย์ ธิดารัตน์ พลพันธ์สิงห์ อาจารย์ประจา วิชาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ที่ให้คา ปรึกษาในการแก้ไขและปรับปรุงโครงงานให้สา เร็จเป็นอย่างสูง
  • 4. สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค-ง บทที่ 1 ที่มาและความสาคัญ 1 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2 ระบบปฏิบัติการเบื้องต้น 3 ความหมายของระบบปฏิบัติการ 3 ระบบปฏิบัติการ(Operating System) ระบบต่างๆ 6 โปรแกรมประมวลคา 7 ความสา คัญของโปรแกรมประมวลผลคา 8-9 คุณสมบัติโดยทั่วไปของโปรแกรมประมวลคา 10 คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ 14 การทางานของคอมพิวเตอร์ 15 ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ 16-17 ลักษณะของคอมพิวเตอร์ 18 คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ 18 ประเภทของคอมพิวเตอร์ 21-23 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ 23-25 หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage Device) 25
  • 5. เรื่อง หน้า บทที่ 3 ขั้นตอนการดา เนินการ 26 บทที่ 4 ผลการดาเนินโครงงาน 27 บทที่ 5 สรุปผลการดาเนินงานละข้อเสนอแนะ 28
  • 6. 1 บทที่1 บทนา ที่มาและความสาคัญ ในยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทางออนไลน์ ให้ความทันสมัยความก้าวหน้าในยุคออนไลน์ เพื่อให้ความรวดเร็วในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะค้นหา และศึกษาเกี่ยวกับโครงงาน โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ มีความตั้งใจในการทา โครงงานเรื่องนี้ เพื่อเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้ค้นคว้าหาความรู้ ในด้านการทา โครงงานเกี่ยวกับเรื่องระบบปฏิบัติการ (Operating System) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 2.เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้การศึกษาและความทันสมัยทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ ขอบเขตการศึกษา 1.ขอบเขตเรื่องเนื้อหา ระบบปฏิบัติการ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบปฏิบัติการ Operating System โปรแกรมประมวลผลคา คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ 2.ได้เอาเทคนิคการคิดเรื่องระบบปฏิบัติการนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.ได้นา ความรู้ความสามารถเรื่องระบบปฏิบัติการมาใช้ในชีวิตประจา วัน
  • 7. 2 บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง การจัดทา โครงงานคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ความรู้ออนไลน์ เรื่องระบบปฏิบัติการ มีเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1.ระบบปฏิบัติการ 2.ความหมายของระบบปฏิบัติการ 3.โปรแกรมประมวลผลคา 4.คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ ระบบปฏิบัติการเบื้องต้น ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรม (Software)ที่ทา หน้าที่ ควบคุมการทา งานของ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งระบบปฏิบัติการจะทา หน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรงและโปรแก รมการใช้งานต่าง ๆ ความหมายของระบบปฏิบัติการ โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือ Operating System เรียกสั้น ๆ ว่า OS เป็นโปรแกรม ควบคุมการทา งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทา หน้าที่ควบคุมการทา งานต่างๆ เช่น การแสดงผล ข้อมูลการติดต่อกับผู้ใช้ โดยทา หน้าที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างผู้ใช้กับเครื่องให้สามารถสื่อสารกันได้ควบคุมและจัดสรรทรัพยากรให้กับโปรแกรมต่างๆโดยทั่วไประบบคอมพิว เตอร์แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมประประยุกต์ และผู้ใช้ ระบบปฏิบัติการ(Operating System)ระบบต่างๆ การทา งานของคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทา งานด้วยตัวเองได้แต่จะต้องอาศัยโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์ทา งานซึ่งเรียกว่ า“ซอฟต์แวร์”(Software)โดยทั่วไปซอฟต์แวร์จะแบ่งเป็น2ประเภทคือโปรแกรมสา เร็จรูปและโปรแกรมระบบปฏิบัติการซึ่ งระบบปฏิบัติการนี้จะมีหน้าที่ในการจัดการและควบคุมการทา งานและอุปกรณ์ต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น การจัดการเกี่ยวกับการแสดงผลบนจอภาพ รับข้อมูลทางแป้นพิมพ์หรือเมาส์ การจัดการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลลงแฟ้มการติดตั้งโปรแกรม นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการยังช่วยสร้างส่วนติดต่อ ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ (User interface) ให้ง่ายต่อการใช้งาน ระบบปฏิบัติการมีอยู่หลาย ระบบ ซึ่งมีการพัฒนาจากผู้ผลิตหลายบริษัท แต่ที่สา คัญ ๆ มีดังนี้
  • 8. 3 1.ระบบปฏิบัติการDOS(DiskOperating System) ระบบ DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM เพื่อให้เป็ระบบปฏิบัติการสา หรับเครื่องพีซี ซึ่งตัวโปรแกรมDOS จะถูก Load หรืออ่านจากแผ่นดิสก์เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจา ก่อน จากนั้น DOS จะไปทา หน้าที่เป็น ผู้ประสานงานต่าง ๆระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหลายโดยอัตโนมัติ โดยที่ DOS จะรับคา สั่งจากผู้ใช้หรือโปรแกรมแล้วนา ไปปฏิบัติตามโดยการทา งานจะเป็นแบบ Text mode สั่งงานโดยการกดคา สั่งเข้าไปที่ซีพร็อม (C:>)ดังนั้น ผู้ใช้ระบบนี้จึงต้องจา คา สั่งต่าง ๆในการใช้งานจึงจะสามารถใช้งานได้ ระบบปฏิบัติการ DOS ถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เก่าแก่ และปัจจุบันนี้มีการใช้งานน้อยมาก 2.ระบบปฏิบัติการ(Microsoft Windows) Windowsเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งจะมีส่วนติดต่อกับ ผู้ใช้ (User interface) เป็นแบบกราฟิกหรือเป็นระบบที่ใช้รูปภาพแทนคา สั่ง เรียกว่า GUI (Graphic User Interface) โดยสามารถสั่งให้เครื่องทา งานได้โดยใช้เมาส์คลิกที่สัญลักษณ์หรือคลิกที่คา สั่งที่ต้องการ ระบบนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมได้มากกว่า 1 โปรแกรมในขณะเดียวกันซึ่งถ้าเป็นระบบ DOS หากต้องการเปลี่ยนไปทา งานโปรแกรมอื่น ๆ จะต้องออกจาก โปรแกรมเดิมก่อนจึงจะสามารถไปใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ได้ ในลักษณะการทา งานของ Windows จะมีส่วนที่เรียกว่า “หน้าต่าง” โดยแต่ละโปรแกรมจะถือเป็นหน้าต่างหนึ่งหน้าต่าง ผู้ใช้สามารถ สลับไปมาระหว่างแต่ละหน้าต่างได้ นอกจากนี้ระบบ Windows ยังให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันได้ผ่านทางคลิปบอ์ด (Clipboard) ระบบ Windows ทา ให้ผู้ใช้ ทั่ว ๆไปสามารถทา ความเข้าใจ เรียนรู้และใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น 3.ระบบปฏิบัติการ(Unix) Unixเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้บนเครื่อง SUN ของบริษัท SUN Microsystems แต่ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับบริษัท Microsoft ในเรื่องของระบบปฏิบัติการบนเครื่อง PCแต่อย่างใด แต่Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีแบบเปิด (Open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้อง ผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรืออุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกัน นอกจากนี้ Unix ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ตอบสนองการใช้งานในลักษณะให้มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (Multiuser system) และสามารถทา งานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลายภารกิจ (Multitasking system) 4.ระบบปฏิบัติการ(Linux) Linuxเป็นระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับ DOS, Windows หรือ Unix โดยLinuxนั้นจัด ว่าเป็นระบบปฏิบัติการ Unix ประเภทหนึ่งการที่Linuxเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วงปี 1999 – 2000 เนื่องจากความสามารถของตัวระบบปฏิบัติ การและโปรแกรมประยุกต์ที่ทา งานบนระบบ Linux โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในตระกูลของ GNU (GNU’s Not UNIX) และสิ่งที่สา คัญที่สุดก็ คือระบบ Linux เป็นระบบปฏิบัติการประเภทฟรีแวร์ (Free ware) คือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อ โปรแกรม Linux นั้นมี นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลกช่วยกันแก้ไข ทา ให้การขยายตัวของ
  • 9. 4 Linux เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของใจกลางระบบปฏิบัติการหรือ Kernel นั้นจะมีการพัฒนาเป็น รุ่นที่ 2.2 (Linux Kernel 2.2) ซึ่งได้เพิ่มขีดความสามารถและสนับสนุนการทา งานแบบหลายซีพียู หรือ SMP (Symmetrical Multi Processors) ซึ่งทา ให้ระบบLinux สามารถนา ไปใช้สา หรับทา งาน เป็น Saverขนาดใหญ่ได้ระบบ Linux ตั้งแต่รุ่น 4 นั้น สามารถทา งานได้บนซีพียูทั้ง 3 ตระกูล คือ บนซีพียูของ อินเทล (PC Intel) ดิจิทัลอัลฟาคอมพิวเตอร์ (Digital Alpha Computer และซันสปาร์ค (SUN SPARC) เนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า RPM (Red Hat Package Management) ถึงแม้ว่าขณะนี้ Linux ยังไม่สามารถแทนที่ Microsoft Windows บนพีซีหรือ Mac OS ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็มีผู้ใช้ จา นวนไม่น้อยที่สนใจมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บน Linux และเรื่องของการดูแลระบบ Linux นั้น ก็มีเครื่องมือช่วยสา หรับดา เนินการให้สะดวกยิ่งขึ้น องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ทำ งำนอย่ำงเป็นระบบ (System) หมำยถึงภำยในระบบงำนคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยที่มีหน้ำที่เฉพำะ ทำ งำนประสำนสัมพันธ์กัน เพื่อให้งำนบรรลุตำมเป้ำหมำย ในระบบงำนคอมพิวเตอร์ กำรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงอย่ำงเดียว จะยังไม่สำมำรถทำ งำนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหำกจะให้คอมพิวเตอร์ทำ งำนได้อย่ำงเป็นระบบและมีประสิทธิภำพแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์ควรจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบคือ บุคลำกร (Peopleware) ฮำร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) ข้อมูล(Data) 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ฮำร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่องที่สำมำรถจับต้องได้ ได้แก่ วงจรไฟฟ้ำ ตัวเครื่อง จอภำพ เครื่องพิมพ์ คียบ์อร์ด เป็นต้นซึ่งสำมำรถแบ่งส่วนพื้นฐำนของฮำร์ดแวร์เป็น 4 หน่วยสำ คัญ 1.1 หน่วยรับข้อมูลหรืออินพุต ( Input Unit)ทำ หน้ำที่รับข้อมูลและโปรแกรมเข้ำ ได้แก่ คีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์ เมำส์ เครื่องสแกน เป็นต้น 1.2 ระบบประมวลผลกลางหรือซีพียู (CPU : Central Processing Unit)ทำ หน้ำที่ในกำรทำ งำนตำมคำ สั่งที่ปรำกฏอยู่ในโปรแกรม ปัจจุบันซีพียูของเครื่องพีซี รู้จักในนำมไมโครโปรเซสเซอร์ ( Micro Processor) หรือ Chip เช่นบริษัท Intel คือ Pentium หรือ Celelonส่วนของบริษัท AMD คือ K6,K7(Athlon) เป็นต้น ไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้ำที่ในกำรประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของกำรคำ นวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำ งำนตำมจังหวะเวลำที่แน่นอน เรียกว่ำสัญญำณ Clock เมื่อมีกำรเคำะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เรำเรียกหน่วย ที่ใช้ในกำรวัดควำมเร็วของซีพียูว่ำ “เฮิร์ท” (Herzt) หมำยถึงกำรทำ งำนได้กี่ครั้งในจำ นวน 1 วินำที เช่น ซีพียู Pentium4 มีควำมเร็ว 2.5 GHz หมำยถึงทำ งำนเร็ว 2,500 ล้ำนครั้ง ในหนึ่งวินำที กรณีที่สัญญำณ Clock เร็วก็จะทำ ให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้น มีควำมเร็วสูง และ ซีพียูที่ทำ งำนเร็วมำก รำคำก็จะแพงขึ้นมำกตำมไปด้วย 1.3 หน่วยเก็บข้อมูล ( Storage )ซึ่งสำมำรถแยกตำมหน้ำที่ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1.3.1 หน่วยเก็บข้อมูลหลักหรือควำมจำ หลัก ( Primary Storage หรือ Main Memory ) ทำ หน้ำที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมำจำกหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลำงทำ กำรประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรประมวลผลเพื่อส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไปซึ่งอำจแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ RAM ( Random Access Memory ) ที่สำมำรถอ่ำนและเขียนข้อมูลได้ในขณะที่เปิดเครื่องอยู่ แต่เมื่อปิดเครื่องข้อมูลใน RAM จะหำยไป และ ROM ( Read Only Memory ) จะอ่ำนได้อย่ำงเดียว เช่น BIOS (Basic Input Output system) โปรแกรมฝังไว้ใช้ตอนสตำร์ตเครื่อง เพื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มต้นทำ งำน เป็นต้น
  • 10. 5 1.3.2 หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ( SecondaryStorage ) เป็นหน่วยที่ทำ หน้ำที่เก็บข้อมูล หรือโปรแกรมที่จะป้อนเข้ำสู่หน่วยควำมจำ หลักภำยในเครื่องก่อนทำ กำรประมวลผลโดยซีพียู รวมทั้งเป็นที่เก็บผลลัพธ์จำกกำรประมวลผลด้วย ปัจจุบันรู้จักในนำมฮำร์ดดิสก์ (Hard disk) หรือแผ่นฟร็อปปีดิสก์ (Floppy Disk) ซึ่งเมื่อปิดเครื่องข้อมูลจะยังคงเก็บอยู่ 1.4 หน่วยแสดงข้อมูลหรือเอาต์พุต ( Output Unit )ทำ หน้ำที่ในกำรแสดงผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรประมวลผล ได้แก่ จอภำพ และเครื่องพิมพ์ เป็นต้น ทั้ง 4 ส่วนจะเชื่อมต่อกันด้วยบัส ( Bus ) 2 ซอฟต์แวร์ ( Software ) ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมหรือชุดคำ สั่ง ที่สั่งให้ฮำร์ดแวร์ทำ งำน รวมไปถึงกำรควบคุมกำรทำ งำน ของอุปกรณ์แวดล้อมต่ำงๆ เช่น ฮำร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม กำร์ดอินเตอร์เฟสต่ำง ๆ เป็นต้น ซอฟต์แวร์ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่รับรู้กำรทำ งำนของมันได้ ซึ่งต่ำงกับ ฮำร์ดแวร์ (Hardware) ที่สำมำรถจับต้องได้ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 2.1ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software )คือโปรแกรม ที่ใช้ในกำรควบคุมระบบกำร ทำ งำนของ เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เช่น กำรบูดเครื่อง กำรสำ เนำข้อมูล กำรจัดกำรระบบของดิสก์ ชุดคำ สั่งที่เขียนเป็นคำ สั่งสำ เร็จรูปโดยผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีมำพร้อมแล้วจำกโรงงำนผลิต กำรทำ งำนหรือกำรประมวลผล ของซอฟต์แวร์เหล่ำนี้ ขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ระบบของซอฟต์แวร์เหล่ำนี้ ออกแบบมำเพื่อกำรปฏิบัติควบคุม และมีควำมสำมำรถในกำรยืดหยุ่น กำรประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ 2.1.1 โปรแกรมระบบปฏิบัติกำร (Operating System) เป็นโปรแกรมที่ใช้ควบคุม และติดต่อกับอุปกรณ์ต่ำง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพำะกำรจัดกำรระบบของดิสก์ กำรบริหำรหน่วยควำมจำ ของระบบ กล่ำวโดยสรุปคือ หำกจะทำ งำนใดงำนหนึ่ง โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ ในกำรทำ งำน แล้วจะต้องติดต่อกับซอฟต์แวร์ระบบก่อน ถ้ำขำดซอฟต์แวร์ชนิดนี้ จะทำ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่สำมำรถทำ งำนได้ ตัวอย่ำงของซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ โปรแกรมระบบปฏิบัติกำร UnixLinux DOS และWindows (เวอร์ชันต่ำง ๆ เช่น 95 98 me 2000 NT XP Vista ) เป็นต้น 2.1.2 ตัวแปลภำษำ (Translator) จำก Source Code ให้เป็น Object Code (แปลจำกภำษำที่มนุษย์เข้ำใจ ให้เป็นภำษำที่เครื่องเข้ำใจ เปรียบเสมือนล่ำมแปลภำษำ) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในกำรแปลภำษำระดับสูง ซึ่ง เป็นภำษำใกล้เคียงภำษำมนุษย์ ให้เป็นภำษำเครื่องก่อนที่จะนำ ไปประมวลผล ตัวแปลภำษำแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ คอมไพเลอร์ (Compiler) และอินเตอร์พีทเตอร์ (Interpeter) คอมไพเลอร์จะแปลคำ สั่งในโปรแกรมทั้งหมดก่อน แล้วทำ กำรลิ้ง (Link) เพื่อให้ได้คำ สั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ำใจ ส่วนอินเตอร์พีทเตอร์จะแปลทีละประโยคคำ สั่ง แล้วทำ งำนตำมประโยคคำ สั่งนั้น กำรจะเลือกใช้ตัวแปลภำษำแบบใดนั้น จะขึ้นอยู่กับภำษำที่ใช้ในกำรเขียนโปรแกรม ซึ่งมี 2 แบบได้แก่ ภำษำแบบโครงสร้ำง เช่น ภำษำเบสิก (Basic) ภำษำปำสคำล (Pascal) ภำษำซี (C) ภำษำจำวำ(Java)ภำษำโคบอล (Cobol) ภำษำ SQL ภำษำ HTML เป็นต้นภำษำแบบเชิงวัตถุ ( Visual หรือ Object Oriented Programming ) เช่น Visual Basic,Visual C หรือ Delphi เป็นต้น 2.1.3 ยูติลิตี้ โปรแกรม (Utility Program) คือซอฟต์แวร์เสริมช่วยให้เครื่องทำ งำนมีประสิทธิภำพ มำกขึ้น เช่น ช่วยในกำรตรวจสอบดิสก์ ช่วยในกำรจัดเก็บข้อมูลในดิสก์ ช่วยสำ เนำข้อมูล ช่วยซ่อมอำกำรชำ รุดของดิสก์ ช่วยค้นหำและกำ จัดไวรัส ฯลฯ เป็นต้นโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม Norton Winzip Scan virus Sidekick Scandisk Screen Saverเป็นต้น
  • 11. 6 2.1.4ติดตั้งและปรับปรุงระบบ (Diagonostic Program) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในกำรติดตั้งระบบ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สำมำรถติดต่อและใช้งำนอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่นำ มำติดตั้งระบบ ได้แก่ โปรแกรม Setupและ Driver ต่ำง ๆ เช่น โปรแกรม Setup Microsoft Office โปรแกรม Driver Sound , Driver Printer , Driver Scanner เป็นต้น 2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ทำ ให้คอมพิวเตอร์ทำ งำนต่ำงๆ ตำมที่ผู้ใช้ต้องกำร ไม่ว่ำจะด้ำนเอกสำร บัญชี กำรจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สำมำรถจำ แนก ได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงำนเฉพำะด้ำน (Special Purpose Software) คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อกำรทำ งำนเฉพำะอย่ำงที่เรำต้องกำร บำงที่เรียกว่ำ User’s Program เช่น โปรแกรมกำรทำ บัญชีจ่ำยเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่ำซื้อ โปรแกรมกำรทำ สินค้ำคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่ำงกันออกไปตำมควำมต้องกำร หรือกฏเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงำนที่ใช้ ซึ่งสำมำรถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบำงส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับควำมต้องกำรของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภำษำระดับสูงเป็นตัวพัฒนำ 2.2.2 ซอฟต์แวร์สำ หรับงำนทั่วไป (General Purpose Software) เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำ ไว้ เพื่อใช้ในกำรทำ งำนประเภทต่ำงๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สำมำรถนำ โปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สำมำรถทำ กำรดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำ เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นกำรประหยัดเวลำ แรงงำน และค่ำใช้จ่ำยในกำรเขียนโปรแกรม นอกจำกนี้ ยังไม่ต้องเวลำมำกในกำรฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำ เร็จรูปนี้ มักจะมีกำรใช้งำนในหน่วยงำน ซึ่งขำดบุคลำกรที่มีควำมชำ นำญเป็นพิเศษในกำรเขียนโปรแกรม ดังนั้น กำรใช้โปรแกรมสำ เร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำ นวยควำมสะดวกและเป็นประโยชน์อย่ำงยิ่ง ตัวอย่ำงโปรแกรมสำ เร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่ำงๆ เป็นต้น 3 บุคลากร ( Peopleware ) บุคลำกรจะเป็นสิ่งสำ คัญที่จะเป็นตัวกำ หนดถึงประสิทธิภำพถึงควำมสำ เร็จและควำมคุ้มค่ำในกำรใช้งำนคอมพิวเตอร์ ซึ่งสำมำรถแบ่งบุคลำกรตำมหน้ำที่เกี่ยวข้องตำมลักษณะงำนได้ 6 ด้ำน ดังนี้ 3.1 นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (Systems Analyst and Designer : SA )ทำ หน้ำที่ศึกษำและรวบรวมควำมต้องกำรของผู้ใช้ระบบ และทำ หน้ำที่เป็นสื่อกลำงระหว่ำงผู้ใช้ระบบและนักเขียนโปรแกรม (Programmer) หรือปรับปรุงคุณภำพงำนเดิม นักวิเครำะห์ระบบต้องมีควำมรู้เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ พื้นฐำนกำรเขียนโปรแกรม และควรจะเป็นผู้มีควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรค์มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 3.2 โปรแกรมเมอร์ ( Programmer )คือบุคคลที่ทำ หน้ำที่เขียนซอฟต์แวร์ต่ำงๆ(Software )หรือเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งงำนให้เครื่องคอมพิวเตอ ร์ทำ งำนตำมควำมต้องกำรของผู้ใช้ โดยเขียนตำมแผนผังที่นักวิเครำะห์ระบบได้เขียนไว้ 3.3 ผู้ใช้ ( User )เป็นผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นผู้ปฏิบัติหรือกำ หนดควำมต้องกำรในกำรใช้ระบบคอมพิวเตอร์ว่ำทำ งำนอะไรได้บ้ำงผู้ใช้งำนคอมพิวเตอร์ทั่วไป จะต้องเรียนรู้วิธีกำรใช้เครื่อง และวิธีกำรใช้งำนโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สำมำรถทำ งำนได้ตำมที่ต้องกำร 3.4 ผู้ปฏิบัติการ (Operator )สำ หรับระบบขนำดใหญ่ เช่น เมนเฟรม จะต้องมีเจ้ำหน้ำที่คอมพิวเตอร์ที่คอยปิดและเปิดเครื่อง และเฝ้ำดูจอภำพเมื่อมีปัญหำซึ่งอำจเกิดขัดข้อง จะต้องแจ้ง System Programmer ซึ่งเป็นผู้ดูแลตรวจสอบแก้ไขโปรแกรมระบบควบคุมเครื่อง (System Software) อีกทีหนึ่ง
  • 12. 7 3.5 ผู้บริหารฐานข้อมูล ( Database Administrator : DBA )กลุ่มบุคคลที่ทำ หน้ำที่ดูแลข้อมูลผ่ำนระบบจัดกำรฐำนข้อมูล ซึ่งจะควบคุมให้กำรทำ งำนเป็นไปอย่ำงรำบรื่น นอกจำกนี้ยังทำ หน้ำที่กำ หนดสิทธิกำรใช้งำนข้อมูล กำ หนดในเรื่องควำมปลอดภัยของกำรใช้งำน พร้อมทั้งดูแลดำต้ำเบสเซิร์ฟเวอร์ (Database Server) ให้ทำ งำนอย่ำงปกติด้วย 3.6 ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือ ผู้วำงนโยบำยกำรใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตำมเป้ำหมำยของหน่วยงำน เป็นผู้ที่มีควำมหมำยต่อควำมสำ เร็จหรือล้มเหลวของกำรนำ ระบบคอมพิวเตอร์เข้ำมำใช้งำนเป็นอย่ำงมำก 4. ข้อมูล ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วใช้ตัวเลขตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ต่างๆ ทา ความหมายแทนสิ่งเหล่านั้น ข้อมูล คือค่าของตัวแปรในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ที่อยู่ในความควบคุมของกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ข้อมูลในเรื่องการคอมพิวเตอร์ (หรือการประมวลผลข้อมูล) จะแสดงแทนด้วยโครงสร้างอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นโครงสร้างตาราง (แทนด้วยแถวและหลัก) โครงสร้างต้นไม้ (กลุ่มของจุดต่อที่มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูก) หรือโครงสร้างกราฟ (กลุ่มของจุดต่อที่เชื่อมระหว่างกัน) ข้อมูลโดยปกติเป็นผลจากการวัดและสามารถทา ให้เห็นได้โดยใช้กราฟหรือรูปภาพ ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอันหนึ่ง อาจมองได้ว่าเป็นระดับต่า ที่สุดของภาวะนามธรรมที่สืบทอดเป็นสารสนเทศและความรู้ ข้อมูลดิบ หรือ ข้อมูลที่ยังไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อีกคา หนึ่งที่เกี่ยวข้อง หมายถึงการรวบรวมจา นวนและอักขระต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามปกติในการประมวลผลข้อมูลเป็นระยะ และ ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว จากระยะหนึ่งอาจถือว่าเป็น ข้อมูลดิบ ของระยะถัดไปก็ได้ ข้อมูลสนามหมายถึงข้อมูลดิบที่รวบรวมมาจากสภาพแวดล้อม ณ แหล่งกา เนิด ที่ไม่อยู่ในการควบคุม ข้อมูลเชิงทดลองหมายถึงข้อมูลที่สร้างขึ้นภายในสภาพแวดล้อมของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยการสังเกตและการบั นทึก โปรแกรมประมวลคา โปรแกรมประมวลคา หรือระบบจัดเตรียมเอกสาร(Document Preparation System) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยุกต์ ใช้ในการผลิตเอกสารที่พิมพ์ออกมา ได้ ซึ้งรวมถึงกระบานการเขียน แก้ไข จักรูปแบบ และพิมพ์ การประมวลคา ในการทา งานยุคแรกของคอมพิวเตอร์สา นักงานโปรแกรมประมวลคา เชิงพาณิชย์ที่เป็นที่นิยมได้แก่ ไมโครซอฟท์ เวิร์ด เวิร์ดเพอร์เฟกต์ โปรแกรมโอเพนซอสร์ส เช่น โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก ไรเตอร์และเคเวิร์ด และโปรแกรมประมวลคา เช่น โปรแกรมประมวลคา ออนไลน์ เช่น กูเกิลดอกส์
  • 13. 8 ประเภทของโปรแกรมประมวลผลคา โปรแกรมประมวลผลคาแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เวิร์ดโพรเซสเซอร์ (Word Processor) เป็นโปรแกรมประมวลผลคา ที่ทา งานด้านการพิมพ์เอกสารการสร้างตาราง การจัดหน้าเอกสาร การจัดคอลัมน์ การจัดรูแบบอักษร (Font) สามารถใส่ภาพกราฟิก (Graphic) หรือแผนภุมิลงในเอกสาร โปรแกรมที่นิยมใช้ได้แก่ โปรแกรมไมโคซอฟต์เวิร์ด(Microsoft Word) 2. เท็กซ์อิดิเตอร์(TextEditor) เป็นโปรแกรมประมวลผลคา ขนาดเล็กใช้สา หรับการพิมพ์และแก้ไขเอกสารคา สั่งต่างๆซึ่งมีรู ปแบบการใช้งาน เช่นลักษณะตัวหนา (Bold) ตัวเอียง (Italic) ขนาดตัวอักษรไม่มากเหมือนกับเวิร์ดโพรเซสเซอร์แต่สามารถพิมพ์ข้อความในเอกสารเก็บบันทึกสั่งพิมพ์ออกทางเ ครื่องพิมพ์ได้เท็กซ์อิดิเตอร์ที่นิยมใช้ ได้แก่ โปรแกรม WordPad โปรแกรม Notepad ความสาคัญของโปรแกรมประมวลผลคา ปัจจุบันสา นักงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการนา โปรแกรมประมวลผลคา มาใช้ในการพิมพ์เอกสารและรายงานต่างๆแท นเครื่องพิมพ์ดีดมากขึ้นทั้งนี้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาความสามารถของตัวประมวลผลหรือโพเซสเซอร์(Processor) แลประสิทธิภาพการเก็บข้อมูล ของหน่วยเก็บข้อมูลสารองต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์เกตต์ ที่มีรวมถึงการผลิตเครื่องพิมพ์ (Printer)ความเร็วสูงประกอบกับราคาเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทา ให้สา นักงานต่างๆหันมา ใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลข้อมูล ซึ่งสามารถจัดทา เอกสาร บทความ
  • 14. 9 ตลอดจนรายงานได้อย่างรวดเร็วโดยสามารถจัดข้อความและเลือกแบบอักษร แก้ไข เพิ่มเติม ปรับปรุง แทรกข้อความรวมข้อความหรือเอกสารจัดขอบกระดาษและตรวจดูเอกสารก่อนที่จะพิมพ์เอกสารจริงออกมานอกจากนี้ยัง สามารถบันทึกเอกสารต่างๆ ตลอดจนเรียกใช้งานแฟ้มข้อมูลที่ได้เก็บบันทึกไว้ ขึ้นมาใช้งานในภายหลังได้ ประโยชน์ของโปรแกรมประมวลผลคา 1. ช่วยให้การจัดเก็บและค้นหาเอกสารมีความรวดเร็วมากขึ้นเพราะงานเอกสารต่างๆ จะถูกจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆสามารถค้นหาและเรียกใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว 2. ช่วยลดปริมาณกระดาษที่จัดเก็บทา ให้ประหยัดพื้นที่ในการเก็บเอกสารเพราะเอกสารจะถูกจัดเก็บอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูล ต่างๆที่มีขนาดเล็กแต่มีความจุในการเก็บข้อมูลได้เป็นจา นวนมาก 3.ช่วยลดขั้นตอนในการจัดทา เอกสาร
  • 15. 10 เช่นถ้าต้องการส่งจดหมายที่มีข้อความเหมือนกันไปให้ผู้รับจดหมายเป็นจา นวนมากอาจทา ได้โดยการจัดทา จดหมายเวียน ซึ่งมีขั้นตอนการทา ที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากใช้เครื่องพิมพ์ดีดก็อาจจะต้องเสียเวลาในการจัดทา มาก 4. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์เอกสาร 5. ช่วยสร้างเอกสารให้มีความสวยงาม ทั้งนี้เพราะผู้ใช้สามารถนา รูปภาพรูปวาด ภาพกราฟิกต่าง ๆ มาแทรกลงในเอกสารได้โดยตรง 6. ช่วยให้การทา งานกับเอกสารถูกต้องและมีข้อผิดพลาดลดน้อยลง เพราะผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารได้โดยตรงบนหน้าจอจนพอใจจึงจะสั่งพิมพ์เอกสารออกทางเค รื่องพิมพ์ได้ หรือาจใช้ระบบการตรวจสอบคา ผิดแบบอัตโนมัติ ในการตรวจสอบการสะกดคา หรือไวยากรณ์ของภาษาได้ คุณสมบัติโดยทั่วไปของโปรแกรมประมวลคา อีกทั้งกา หนดขนาดและรูปแบบตัวอักษรได้หลายแบบและยังมีชุดตัวอักษรให้เลือกหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือก ใช้ได้ตามความพอใจและตามความเหมาะสมของเอกสารส่วนการจัดหน้าเอกสารนั้นโปรแกรมประมวลผลคา สามารถคว บคุมการจัดวางหน้าใหม่โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการแก้ไขเอกสาร เช่น การกา หนดให้ข้อความในบรรทัดเริ่มที่เส้นขอบซ้ายตรงกันหรือกา หนดให้ข้อความอยู่ตรงกลางของบรรทัด เป็นต้น
  • 16. 11 เครื่องมือช่วยในการทา จดหมายเวียนและจ่าหน้าซองจดหมาย เครื่องมือนี้จะช่วยสร้างจดหมายหลักไว้หนึ่งฉบับพร้อมทั้ง กา หนดตา แหน่งที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลและสร้างแฟ้มข้อมูลสา หรับบันทึกชื่อและที่อยู่ของผู้รับไว้เมื่อสั่งพิมพ์จดหมายเวีย นนั้นหรือจ่าหน้าซองจดหมายโปรแกรมจะนา ข้อมูลมาใส่ในตา แหน่ง ที่กา หนดไว้ให้อย่างอัตโนมัติจนครบทุกคนในปัจจุ บันโปรแกรมประมวลผลคา มีการพัฒนาไปอย่างมาก คือ มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยในการพิมพ์ หรือสร่างเอกสารเป็นพิเศษ เช่น งานสร้างตาราง การจัดแบ่งข้อความเป็นคอลัมน์ การตรวจสอบตัวสะกด การตรวจสอบไวยากรณ์การแทรกรูปภาพลงในเอกสาร การใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่น ๆและความสามารถในการสร้างเว็บเพจ ดังนั้นโปรแกรมประมวลผลคา จึงถูกนา มาใช้แทนการใช้เครื่องพิมพ์ดีด และสามารถใช้วานเสมือนโรงพิมพ์ตั้งโต๊ะ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft office word 2010 เริ่มต้นการใช้งาน Microsoft office word 2010 โปรแกรม Microsoft Word เป็นโปรแกรมจัดทา เอกสารที่มีความนิยมอย่างมาก หลายหน่วยงาน หลายองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนนิยมใช้โปรแกรมนี้ ในการจัดทา เอกสารหลายรูปแบบ เช่น หนังสือ แผ่นพับ แผ่นปลิว โปสเตอร์ เป็นต้น จะเรียกได้ว่า เป็นโปรแกรมพื้นฐานสา หรับสา นักงานที่มีความจา เป็นที่บุคลากรขององค์กร หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องมีความรู้ มีทักษะในการใช้โปรแกรมได้เป็นอย่างดี จึงจะช่วยให้การทา งานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น การเริ่มต้นใช้งาน Microsoft Word เริ่มด้วยการเปิดโปรแกรม Microsoft Word ดังนี้ 1.คลิกที่ Start > Programs > Microsoft Office > Microsoft Word 2010
  • 17. 12 2. จะเปิดหน้าต่างโปรแกรม Microsoft Word 2010 การสร้างเอกสารใหม่ การเริ่มต้นสร้างงานเอกสาร เราต้องเปิดหรือสร้างเอกสารใหม่ได้ขึ้นมาก่อน โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.ไปที่แฟ้ม >คลิกสร้าง 2. เปิดหน้าต่าง เลือกแม่แบบที่มีอยู่ >เอกสารเปล่า >คลิกสร้าง จะได้เอกสารเปล่าเพื่อพร้อมที่จะพิมพ์งาน การเปิดเอกสารเก่าใช่งาน เมื่อเรามีเอกสารเก่า หรือไฟล์งานเดิมที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องการที่จะเปิดขึ้นมาใช้งาน หรือทา งานต่อ มีวิธีการดังนี้ 1.เปิดโปรแกรม Microsoft Word 2010 โดย คลิกที่ Start > Programs > Microsoft Office > Microsoft Word 2010 2.เมื่อโปรแกรม word เปิดขึ้น คลิกที่แฟ้ม 3.โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง เปิด ให้เลือกว่าไฟล์ word อยู่ที่ไหน มองหาใน จะตั้งค่าที่ MY Document เสมอ เราต้องรู้ว่าไฟล์ word ของเราชื่ออะไร เก็บไว้ในไดร์ฟไหน โฟลเดอร์ไหน เลือกที่อยู่ให้ถูกและเลือกไฟล์ แล้วคลิกเปิด 4.อีกวิธีการหนึ่ง คือ เปิดโปรแกรม word คลิกที่แฟ้ม >จะมองเห็นเอกสารล่าสุด ถ้ามีชื่อ เอกสารที่เราจะใช้งาน ก็คลิกเปิดได้เลย การบันทึกข้อมูล ในการทา งานโปรแกรม word เราควรจะคลิกปุ่มบันทึก บนแท็บ ไว้เรื่อย ๆ เพื่อป้องกันงานสูญหาย เนื่องจาก ไฟดับ ปลั๊กหลุด หรือเครื่องแฮงค์ เป็นต้น การบันทึกงานครั้งแรก ให้ทา งานขั้นตอนดังนี้ 1. คลิกที่ไอคอนบันทึก โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง บันทึกเป็น 2. ในช่องบันทึกใน ให้คลี่สามเหลี่ยมเล็ก ๆ ลงมาเพื่อเลือกบันทึกงานว่าเก็บไว้ที่ใด ไดร์ฟไหน โฟลเดอร์ใด 3. ในช่องชื่อแฟ้ม ให้ตั้งชื่อไฟล์ 4. แล้วคลิกบันทึก นอกจากนี้ การบันทึกไฟล์งาน นอกจากจะคลิกที่ปุ่มบันทึก แล้วยังสามารถบันทึกได้โดย 1. ไปที่แท็บ แฟ้ม>คลิกบันทึก 2. โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง เปิด ให้เลือกบันทึกใน ไดร์ฟหรือโฟลเดอร์ไหน และตั้งชื่อไฟล์ก่อนคลิกบันทึก เหมือนวิธีเดียวกับคลิกบันทึกจากปุ่มบันทึก 3. การบันทึกอีกรูปแบบหนึ่ง คือ บันทึกเป็น ใช้ในกรณีที่เราต้องการเปลี่ยนที่เก็บ หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์การแทรกข้อความ
  • 18. 13 เมื่อเราพิมพ์งานหรือจัดหน้าเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เราต้องการจะเพิ่มเติมข้อมูลที่คิดว่าเป็นประโยชน์ เราสามารถทา ได้ ดังนี้ 1.คลิกตั้งเคอร์เซอร์บริเวณที่จะเติมข้อความ 2. สาหรับข้อความที่จะเติมเราสามารถพิมพ์เติมเข้าไปได้เลยหรือไป copy มาจากที่อื่นก็ได้ โดยป้ายเลือกบริเวณที่ต้องการ ให้เกิดแถบสี แล้วคลิกขวา >คัดลอก 3. เมื่อคัดลอกมาแล้ว เราจะนา มาวางตรงที่ตั้งเคอร์เซอร์ไว้ ให้คลิกขวา >เลือกตัวเลือกการวาง 4. การวางข้อความ/ภาพที่ copy มามีตัวเลือกการวางหลายลักษณะ ดังนี้ -ใช่ชุดรูปแบบปลายทาง -รักษาการจัดรูปแบบตามต้นฉบับ -ผสานการจัดรูปแบบ -เก็บข้อความเท่านั้น -รูปภาพ -วางแบบพิเศษ การวางแบบพิเศษ สามารถเลือกรูปแบบเอกสารที่จะวางได้ตามตัวเลือก เมื่อเลือกได้แล้วคลิกตกลง 5. เมื่อเลือกลักษณะการวางได้ตามต้องการแล้ว ก็จะปรากฏข้อความที่ copy มา การเลื่อนไปส่วนตัวต่าง ๆ ของเอกสาร การเลื่อนไปยังส่วนต่าง ๆ ของเอกสาร ทา ได้หลายวิธีการ ดังนี้ 1. เลื่อนขึ้น-ลง ไปยังส่วนต่าง ๆ หรือหน้าต่างของเอกสารโดยใช้ แถบเลื่อน (Scroll Bar) 2. ใช้ลูกศรขึ้น และลูกศรลง ที่อยู่ด้านข้างทางขวามือของหน้าจอ คลิกขึ้น-ลง เพื่อเลือกหน้าที่ต้องการ 3. ใช้ลูกศรคลิกไปหน้าก่อน และหน้าถัดไป 4. คลิก วงกลมเพื่อเลือกลักษณะการเรียกดู ดังภาพ
  • 19. 14 5. เลือกไปที่ ดังภาพ 6. จะเปิดหน้าต่าง ค้นหาและแทนที่ ให้กา หนดว่า จะไปหน้าไหน ให้ใส่หมายเลขหน้าตามที่ต้องการ 7. สมมติว่า จะไปหน้า 1 ก็ใส่เลข 1 แล้วคลิกปุ่ม ไปที่ การออกจากโปรแกรม เมื่อพิมพ์เอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราบันทึกงานเก็บตามขั้นตอนและต้องการจะออกจากโปรแกรม มีหลายวิธีการดังนี้ วิธีที่1ไปที่แท็บแฟ้ม เลือกจบการทา งาน โปรแกรมจะปิดตัวเอง ออกจากโปรแกรม Microsoft Word วิธีที่2 คลิกที่เครื่องหมายกากบาทสีแดง ที่มุมบนขวามือของหน้ากระดาษโปรแกรมจะปิดตัวเอง ออกจากโปรแกรม Microsoft Word คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทที่สา คัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบันแทบทุกวงการล้วนนา คอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้งานจนกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่สา คัญอย่างยิ่งต่อการ
  • 20. 15 ดา เนินชีวิตและการทา งานในชีวิตประจา วันฉะนั้นการเรียนรู้เพื่อทา ความรู้จักกับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่ มีความจา เป็นเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่จะทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไรทา งานอย่างไร และมีความสา คัญต่อมนุษย์อย่างไรเราจึงควรทา การศึกษาในหัวข้อต่อไปนี้ ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computareซึ่งหมายถึง การนับหรือ การคา นวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทา หน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สาหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทา งานแทนมนุษย์ในด้านการคิดคา นวณและสามารถจา ข้ อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็ว สูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่นการเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูลการจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ การทางานของคอมพิวเตอร์
  • 21. 16 คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตามจะมีลักษณะการทา งานของส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ โด ยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input Process และ output ซึ่งมีขั้นตอนการทา งานดังภาพ ข้นัตอนที่1 รับข้อมูลเข้า (Input) เริ่มต้นด้วยการนา ข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่องถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสาหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สา หรับเคลื่อนตา แหน่งของการเล่นบนจอภาพเป็นต้น ขั้นตอนที่2 ประมวลผลข้อมูล (Process) เมื่อนา ข้อมูลเข้ามาแล้วเครื่องจะดา เนินการกับข้อมูลตามคา สั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ ต้องการการประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่างเช่น นาข้อมูลมาหาผลรวม นาข้อมูลมาจัดกลุ่ม นาข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น ขั้นตอนที่3 แสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นการนา ผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กา หนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้
  • 22. 17 ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์ 1.หน่วยเก็บ(Storage)หมายถึงความสามารถในการเก็บข้อมูลจา นวนมากและเป็นเวลานานนับเป็น จุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทา งานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของค อมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย 2.ความเร็ว(Speed)หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูล(ProcessingSpeed) โดยใช้เวลาน้อยเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุดเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิ วเตอร์ที่สา คัญส่วนหนึ่งเช่นกัน 3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลา ดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติโดยมนุษย์มีส่ วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกา หนดโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น 4. ความน่าเชื่อถือ (Sure) หมายถึงความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้องความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสา คัญที่สุดในการทา งานของเค รื่องคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการทา ให้ถูกนา มาใช้ประโยชน์ต่อการดา เนินชีวิตประจา วันในสังคมเป็นอย่ างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงานเอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้านดังต่อไปนี้ 1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทา บัญชี
  • 23. 18 งานประมวลคา และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิตและการประกอบชิ้นส่วนของอุปกร ณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ซึ่งทา ให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคารที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชีเชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย 2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุขสามารถนา คอมพิวเตอร์มาใช้ในนา มาใช้ในส่วนของการคา นวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่นงานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียนการเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สา หรับการตรวจรักษาโรคได้ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยา กว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิมและให้การรักษาได้รว ดเร็วขึ้น 3. งานคมนาคมและสื่อสารในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่งซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ทา ให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจรเช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศหรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจรซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสั ญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน 4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือจา ลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหวโดยคอมพิวเตอร์จะคา นวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงควา มจริงรวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือผลการทา งาน 5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุดโดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่นกระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ ,
  • 24. 19 กรมสรรพากรใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น 6. การศึกษา ได้แก่การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอนซึ่งมีการนา คอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณ์บทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียนซึ่งทา ให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียนการเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด ลักษณะของคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจา กัดของมนุษย์มีดังนี้ 1. หน่วยเก็บ (Storage) หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจา นวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทา งานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย 2. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed)โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วน เกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สา คัญส่ วนหนึ่งเช่นกัน เช่นกัน 3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลา ดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกา หนดโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น 4. ความน่าเชื่อถือ (Sure) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสา คัญที่สุดในการทา งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคา สั่งและข้อมูลที่มนุษย์กา หนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ 1.ความเป็นอัตโนมัติ ( Self Acting) คอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ มีการจัดเก็บหรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ
  • 25. 20 การประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะทา งานแบบอัตโนมัติภายใต้คา สั่งที่ได้ถูกกา หนดไว้ การทา งานดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การนา ข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ออกมาให้อยู่ในรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ 2.ความเร็ว ( Speed) คอมพิวเตอร์จะประมวลผลงานด้วยความเร็วสูง ต่างจากการประมวลผลงานในอดีตที่อาศัยแรงงานของมนุษย์ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ล่าช้ากว่ามาก งาน ๆ หนึ่งหากใช้แรงงานคนอาจเสียเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการคิดและประมวลผล แต่หากนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้อาจลดเวลาและให้ผลลัพธ์ได้เพียงไม่กี่นาที ความรวดเร็วในการประมวลผลดังกล่าวมีความจา เป็นอย่างมากต่อการดา เนินงานธุรกรรมในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการคา นวณด้วยคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ผู้บริหารนา เอาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหรือดา เนินงานได้อย่างรวดเร็ว 3.ความถูกต้อง แม่นยา ( Accuracy) คอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง แม่นยา และมีความผิดพลาดน้อยที่สุด การใช้แรงงานคนเพื่อประมวลผลเป็นเวลานาน อาจเกิดการผิดพลาดได้ เนื่องมาจากความอ่อนล้า เช่น ลงรายการผิด หรือบันทึกข้อมูลผิดประเภท ตรงกันข้ามกับคอมพิวเตอร์ที่สามารถทา งานได้อย่างต่อเนื่องและซ้า ๆ แบบเดิมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการป้อนข้อมูลเข้าที่ถูกต้องด้วย เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามานั้นเป็นอย่างไร ผิดหรือถูก หากมีการป้อนข้อมูลผิด โปรแกรมหรือชุดคา สั่งอาจประมวลผลตามที่ได้รับข้อมูลมาเช่นนั้น ซึ่งความไม่ถูกต้องดังกล่าวไม่ใช่เป็นความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ หากเป็นความผิดพลาดของฝั่งผู้ใช้เอง เป็นต้น 4.ความน่าเชื่อถือ ( Reliability) ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ จะมีความน่าเชื่อถือและสามารถนาไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อไปได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันมีฮาร์ดแวร์ที่ผลิตขึ้นด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ มีการคิดค้นและพัฒนาให้ดีกว่ายุคสมัยก่อนที่มีการใช้เพียงแค่หลอดสุญญากาศ การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจึงมีความผิดพลาดต่า มากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย นั่นคือการมีความน่าเชื่อถือสูงนั่นเอง 5.การจัดเก็บข้อมูล ( Storage Capability) คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความธรรมดาหลาย ๆ ล้านตัวอักษร เพลง ภาพถ่าย วิดีโอ หรือไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่จา นวนมาก โดยมีหน่วยเก็บข้อมูลเฉพาะเป็นของตนเอง ช่วยให้การจัดเก็บและถ่ายเทข้อมูลเป็นไปได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมักพบเห็นหน่วยเก็บข้อมูลที่จุข้อมูลได้มากขึ้นและมีราคาที่ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก 6.ทา งานซ้า ๆ ได้ ( Repeatability) คอมพิวเตอร์สามารถทา งานซ้า ๆ กันได้หลายรอบ ช่วยลดปัญหาเรื่องความอ่อนล้าจากการทา งานของแรงงานคน นอกจากนั้นยังลดความผิดพลาดต่าง ๆ ได้ดีกว่าด้วย ข้อมูลที่ประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม จะสามารถคา นวณและหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว การคิดหาผลลัพธ์ของงานที่มีลักษณะซ้า ๆ แบบเดิม เช่น การบันทึกรายการบัญชีประจา วัน การลงรายการสินค้าเข้า