SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  19
Télécharger pour lire hors ligne
แชร์ประสบการณ์ ขาย E-book ไทย 100,000บาท ทาได้ จริง! 
ผมหวังให้บทความนี้จะสามารถช่วยให้คนที่ตั้งใจอยากเขียน หนังสือ หรืออยากขาย E-book ได้มองเห็นช่องทาง แนวคิด แนวทาง และกาลังใจในการทางานได้อย่างชัดเจน ว่าอนาคตของ E-book ไทย กาลังจะเติบโต และสดใสอย่างแน่นอน หลายคน กลัวที่จะเริ่มต้น มันไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณกลัว ผมเองก็กลัว เช่นเดียวกันในตอนที่เริ่มต้น แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการลงมือทา อย่างจริงจัง!
สรุปยอดขายรวมทั้งสิ้น 
E-Book ที่ผมขายนั่นมี 2เล่มด้วยครับ Make Money from Thai Affiliate กับ Rich Online with Writing ทั้งหมดคือ ยอดขายตั้งแต่เปิดขายเดือน กุมภาพันธ์ –มิถุนายน 2557 รวม 4เดือน ยอดขายทั้งหมด 107,578 บาท  Make Money from Thai Affiliate 66,880 บาท  Rich Online with Writing 40,698 บาท ต้นทุน  ค่าจดโดเมน $7.99 (ประมาณ 250 บาท)  ค่าเช้าโฮ้สติ้ง $0 (ใช้โฮ้สนอกรวมกับเว็บอื่นๆ)  ค่าธีม WordPress ซื้อจาก Themeforrest.com $59 (ประมาณ 1,888 บาท)  ค่าโฆษณา 22,620 บาท  ค่าจ้างทาป้าย Banner 600 บาท  รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 25,358 บาท 
หักต้นทุน กาไรสุทธิ 82,220 บาท
สถิติที่น่าสนใจ 
นั่นคือยอดขาย E-Book ของผม ถือว่ามีกาไรโดยไม่หักค่าแรง ในการเขียนเท่ากับ 82,220บาท เป็นกาไรกว่า 3เท่า ของต้นทุน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ลุกค้าของผม ทั้งหมด  จ่ายเงินผ่าน PayPal 57%  โอนผ่านธนาคาร 28%  และชาระเงินผ่านบัตรเครดิตอีกประมาณ 10% ไม่อาจบ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของคนไทยในอินเตอร์เน็ตได้ แต่อยากให้มองเห็นภาพกว้างว่า เมื่อสินค้าเป็น Digital Product การใช้จ่ายโอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์ (PayPal) และบัตรเครดิตก็สามารถทาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จ่ายเงินเสร็จ ดาวน์โหลดไฟล์ได้ทันที สะดวก สบายทั้งผู้ขาย และผู้ซื้อ
แรงบันดาลใจในการเขียน E-Book ขาย ผมเองเป็นคนธรรมดา เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคุณนั่นแหละ ไม่ได้มีความรู้ระดับด็อกเตอร์อะไรเลย เป็นพนักงานระดับ ปฏิบัติการ (หมายถึงเอาแรงทางานา แลกเงิน) บางคนเข้าใจผิดว่า การเขียนบทความ การเขียนหนังสือ หรือเผยแพร่บทความต่างๆ นั้น ต้องมีเรียนจบสูง ทางานในตาแหน่งดีๆ เงินเดือนมากๆ หรือ เป็นข้าราชการ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณกาลังคิดว่าเหมาะสม สาหรับการมีผลงานเขียนเผยแพร่สู่สาธารณะ คุณอั้มจากบล็อก Asuradech.com เคยบอกผมว่า ความรู้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น แบ่งออกเป็น 3ระดับ คือ กูไม่รู้ >> กูรู >> กูรูขั้นเทพ คุณไม่จาเป็นต้องมีความรู้จนถึงขั้นกูรูขั้นเทพหรอก จึงจะเขียน E-Book ได้ คุณแค่เขียนความรู้ที่คุณรู้อย่างแท้จริง และมีความ เชี่ยวชาญ สามารถนาไปใช้งานได้จริงให้สาหรับคนที่เป็น “กูไม่รู้” ซึ่งมีมากมาย และความรู้เหล่านี้แหละที่มือใหม่ทั้งหลายต้องการ ผมคงต้องสารภาพตามตรงว่าแรงบันดาลให้เริ่มต้นเขียน E- Book เพื่อขายความรู้นั้น มาจากการอ่าน E-Book เรื่อง “The Freedom Hacker” โดย พอล The CEO Blogger ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับทางานอย่างไรให้มีอิสระ และสร้าง รายได้ที่ดีได้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเป็น Blogger และการเขียน
E-Book อยู่บ้าง และนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากทาบ้าง แต่ยังไม่รู้ เหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี จนมาได้อ่านผลงานอีกเล่มของคุณพอล “How to Become an eBook Self Publisher” ที่มีเนื้อหาสาหรับการเป็นนัดเขียน E-Book เพื่อจาหน่ายได้ด้วยตนเองเล่มนี้แหละที่เปิดกะโหลกผม เลย หลังจากอ่านเสร็จ ผมลงมือร่างและเขียน E-Book เล่ม แรกของผมทันที นั่นคือ “ทาเงินออนไลน์ได้จริงจากไทย Affiliate” และไม่นาน ผลงานเล่มนี้ก็วางจาหน่ายบนเว็บไซต์ที่เปิด มาเพื่อขาย E-Book เล่มนี้โดยเฉพาะเลย ผมแปลกใจไม่น้อยว่าทาไมเมืองไทย ไม่มีคนเขียนหนังสือ หรือ E- Book สอนเขียน E-Book ออกมาขายตั้งนานแล้ว เพราะใน ต่างประเทศนั้นมีหนังสือแนวนี้เยอะมาก รวมถึง E-Book ก็มี จาหน่ายเยอะด้วย อาจจะเป็นเพราะค่านิยม เครื่องมือในการอ่าน E-Book ของคนไทยยังน้อยอยู่รึเปล่า คนไทยก็เลยไม่สนใจอย่าง จริงจัง และยังไม่เห็นประโยชน์ของ E-Book ว่า เนื้อหา บางอย่าง ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเล่มที่วางขายได้ทั่วไป
ผมเริ่มต้นเขียน E-Book ด้วยความไม่พร้อม หลังจากอ่านอีบุ๊คที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเป็นนักเขียนE-Book ทาให้ผมอยากเขียนขึ้นมาทันที ทันใด แต่ความไม่พร้อมของผม ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด ความกังวลใจว่าจะเขียนได้ไหม จะเขียน อะไร แล้วถ้าเขียนเสร็จจะขายให้ใคร จะมีคนซื้อไหม เป็นสิ่งที่ผม คิดวนเวียนอยู่ในใจหลายวัน และยังไม่ลงมือเขียนซะที จุดเปลี่ยนของผมก็คือการนึกทบทวน ถึงความเป็นอิสระจากงาน ที่ไม่ได้ชอบมากมายนัก ที่ทาอยู่ก็เพราะมันจาเป็น บรรยากาศที่ ทางานก็ไม่ค่อยดี การต้องตื่นไปทางานที่เราไม่ชอบทุกๆเช้า เบียดเสียดผู้คนมากมายบนรถไฟฟ้า เป็นความรู้สึกที่ยากจะ บรรยาย คุณหลายคนก็คงเป็น “อาการเบื่องานประจา” “คุณไม่มีทางได้สิ่งใหม่ จากการทาสิ่งเดิม” (คาพูดใครจาไม่ได้แล้ว แต่ประมาณนี้) ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนไปทา สิ่งใหม่ เพื่อที่จะได้รับสิ่งใหม่ๆ กลับมา ลองคิดเล่นๆว่า หากไม่มี คนซื้อจริงๆ อย่างน้อยเราก็ได้ทาเต็มที่แล้ว อย่างน้อยเราได้ลอง ทาสิ่งใหม่แล้ว แม้อาจจะไม่ได้ผลตอบรับที่ดี แต่นั้นหมายถึงเราได้ พยายามแล้วจริงๆ ลงมือทาทันที หลังจากที่คิดได้
แนวคิดที่ผมคิดได้ในการเขียน E-Book ตอนนั้นคือ “ถ้าไม่ได้เป็น คนแรก ก็ขอให้เป็นคนที่ดีที่สุด” ซึ่งในตอนนั้น ไม่มีใครอยากทา Affiliate ไทย เพราะทาแล้วไม่รู้จะโดนเบี้ยวหรือเปล่า ร้านค้าไม่มี ความน่าเชื่อถือเท่าไหร่ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการเบิกจ่ายเงิน ค่าคอมฯ ทาให้หลายคนค่อนแคะ Affiliate ไทย ว่าเป็นไปไม่ได้ ทาไม่ได้แน่นอน แต่สาหรับผมแล้ว ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้น ผมคิดว่า แค่ว่าประเทศไทย มีการหารายได้จากอินเตอร์เน็ตด้วยการเป็น นายหน้าออนไลน์ (Affiliate) แล้วทาไมเราจะไม่ทา มันง่ายกว่า ทา Affiliate ต่างประเทศเยอะเลยนะ อย่างแรกเลยคือภาษาที่ใช้ เป็นภาษาไทย โอ้วว ไม่ทาไม่ได้แล้ว ผมทดลองทาอยู่หลายเดือนกว่าจะได้ค่าคอมฯงวดแรก และเป็นไป ตามที่หลายคนพูดไว้เลยแหละ การเบิกจ่ายเงินค่อนข้างยุ่งยาก และล่าช้ากว่ากาหนดจริง แต่นั่นก็การันตีได้อย่างหนึ่งว่า “Affiliate ไทยจ่ายจริง” ดังนั้น ผมจึงทาต่อไป และได้รับค่าคอม ฯมาพอสมควร ความรู้ที่ได้มาจาก Affiliate ต่างประเทศที่ผม เคยทามานั่นแหละ ทั้ง Amazon, Viglink, Prosperent และ อีกหลายเจ้า แค่นามาปรับปรุงให้เข้าบ้านเราเท่านั้นเอง เมื่อ ประสบผลลัพธ์ที่น่าพอใจ การเขียนบทความใน E-Book ก็ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟังว่า จะทาอย่างไรให้ได้เงินจาก Affiliate อย่างยั่งยืน นั่นคือ Key Concept สาหรับ E-Book ของผม คุณลองนึกซิว่า คุณเล่าเรื่องอะไรซักเรื่องให้เพื่อนฟัง เรื่องที่คุณไป ทามา ไปเจอมาด้วยตัวเอง คุณแทบไม่ต้องเรียนรู้ วิธีการเล่าเรื่อง
จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดๆเลย คุณสามารถเล่าเรื่องนั้นได้ เลยทันที รายละเอียดทุกอย่าง ที่มี ที่ไป ข้อดี ข้อเสีย ทาแบบนั้น ไม่ดี ทาแบบนี้ได้ผลดีกว่า ขายได้เยอะกว่า จะเล่ากลางเรื่อง หรือ ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น คุณก็ทาได้อย่างลื่นไหล โดยไม่มีติดขัด เขียน E-Book มันไม่ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ(ฮา) คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณสามารถ หรือชอบที่จะทาอะไรได้ดี นอก จาต้องลงมือทาเสียก่อน ผลตอบรับก็อย่างที่เห็นตามรายงาน จากด้านบนนะครับ ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดี สาหรับผมนะ 
โปรดรับข้าน้อยเป็นศิษย์ด้วยเถิด.. ผมนึกถึงฉากพระเอกหนังจีนกาลังภายใน ที่ต้องขึ้นเขาไปฝึกวิชา กว่าจะขึ้นได้ก็ใช้เวลานานโข ไหนจะไปขอร้องอาจารย์ให้รับเป็น ศิษย์ ต้องคุกเข่าอยู่หน้าสานัก ตากแดด ตากฝน อยู่หลายวัน เมื่ออาจารย์เห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง จึงยอมรับเป็นศิษย์เพื่อร่า เรียนวิชา มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่าสมัยนี้เราไม่ได้ลาบากขนาด นั้น เพื่อที่จะรู้วิชา ความรู้ใดๆ หากโรงเรียนไม่มีสอน ก็มีคนที่เป็น มืออาชีพด้านนั้นๆออกมาสอนมากมาย เขียนหนังสือให้ความรู้ เรื่องที่คุณอยากรู้ มีสัมมนาสอนอยู่เป็นระยะๆ ความรู้ทุกวันนี้ มันได้มาง่ายกว่าหนังจีนกาลังภายในเยอะครับ
แต่ผมเองก็ยังสงสัยสาหรับบางคนที่บอกว่าไม่รู้ ไม่เชียวชาญ ทา เงินได้น้อย หรือไม่ประสบความสาเร็จ เปรียบเทียบให้เห็นเหมือน ในหนังจีนกาลังภายใน อาจารย์แต่ละคนนั้นมีลูกศิษย์หลายคน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เป็นศิษย์เอกหรอกนะครับ มีเฉพาะบางคน เท่านั้นที่เป็นคนที่นาวิชา ความรู้นั้นไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ และเห็น ผลอย่างชัดเจน ทั้งๆที่อาจารย์ก็สอนเรื่องเดียวกัน เหมือนกันทุก คน ความรู้มีอยู่มากมายกว่าแต่ก่อนเยอะครับ อยู่ที่คุณแหละว่า พร้อมจะยอมลงทุนไหม ไม่ต้องลงทุนปีนเขาไปเรียน ไม่ต้อง นั่งคุกเข่าหน้าสานัก แค่เดินไปร้านหนังสือ ซื้อหนังสือราคาไม่กี่ ร้อยบาทมาอ่าน ไปเข้าคอร์สสัมมนาราคาไม่กี่พันบาท คุณจะ ได้รับความรู้นั้นมาเต็มๆ นาไปใช้งานได้จริงๆ ไม่ต้องนอนให้หนอน แดกแล้วครับคราวนี้ มีความรู้จากมืออาชีพมาสอนคุณ คุณนาไป ปฏิบัติจริง เป็นผลจริง วัดผล และปรับประยุกต์ให้เข้ากับตัวคุณ ความสาเร็จอยู่แค่เอื้อม “การลงทุนกับการศึกษาเป็นหารลงทุนที่ คุ้มค่าเสมอ” ต้องมีบอกเลยว่านอกจาก E-Book ของคุณพอลที่ผมอ่านแล้ว นั้น ในเมืองไทยไม่มีใครเขียนบทความ เขียนหนังสือ หรือเขียน E-Book เล่มอื่นๆเลย ดังนั้นเมื่อต้องการที่จะทามันอย่างจริง ผมก็เริ่มเรียนรู้จากฝรั่งเมืองนอกแล้วครับ บอกตามตรง ภาษาอังกฤษผมไม่กระดิกเอาเสียเลย แต่เมื่อผมต้องการที่รู้ เพื่อ
นามาลงมือทางาน เพื่อทาเงิน ดังนั้น เมื่อไม่รู้ ก็ต้องเรียนให้มันรู้ ผมเริ่มเข้าไปอ่านบทความจากบล็อกเกอร์จากต่างประเทศ ซื้อ E-Book ภาษาอังกฤษ (ทั้งๆที่อ่อนภาษาก็ยังซื้อ อย่างน้อย ซื้อ มาดูรูปเอา) เมื่อความรู้เป็นเรื่องสาคัญอันดับหนึ่งในการลงมือทาอะไรซักอย่าง ดังนั้นไม่ว่าจะยากลาบาก (ที่จริงก็ไม่ลาบากมากนะ) ผมจะให้ ความสาคัญ และลงทุนกับเรื่องนี้ก่อน เมื่อเรารู้แล้ว ความรู้ พื้นฐานนั้นสามารถปรับประยุกต์ ต่อยอดได้มากมายเลยครับ จริงๆ 
เครื่องมือที่ผมใช้ในการเขียน E-Book 
มาว่ากันในเรื่องเครื่องมือการสร้างและเขียน E-Book กันนะ หลายคนอยากรู้แล้วว่า อยากเขียน E-Book ต้องใช้โปรแรกม อะไรในการเขียน เอาตอบแบบสั้นเลยนะ ใช้ Microsoft Word เขียนเสร็จแล้ว กด F12 Save as เป็นนามสกลุ .pdf แค่นี้ แหละ หลายๆคนพยายามเค้นเอาความลับจากผมโดยการส่งข้อความมา ถามใน Facebook ว่าใช้โปรแกรมอะไรในการเขียน E-Book
พอบอกว่าใช้ MS Word ก็ไม่เชื่ออีก หาว่าทาได้ขนาดนี้เลยเหรอ E-Book ของคุณวัชระ ใช้แค่ MS Word เนี๊ยะนะ ครับ ทาได้ขนาดนี้แหละครับ – -’ เหตุที่ผมใช้โปรแกรม MS Word ในการเขียน E-Book ก็เพราะ  เป็นโปรแกรมพื้นฐานในเครื่องคอมพิวเตอร์น่าจะมีกันทุกเครื่อง สาหรับ OS Windows  ใช้งานง่าย หากคุณทางาน Office คุณถามการใช้งาน โปรแกรมนี้ได้จากเพื่อนที่ทางานเลยครับ เป็นโปรแกรมพื้นฐาน สาหรับสานักงาน  หนังสือสอนใช้งานมีเยอะ บางเล่มราคาถูกมากๆยิ่งเป็นเวอร์ ชั่นเก่า ยิ่งถูกไปใหญ่ ที่จริงหากจะซื้อคู่มือแกรม MS Word เลือกที่เป็นรุ่นเก่าๆก็ได้ เพราะเราใช้แค่เครื่องมือพื้นฐานเท่านั้น บางเล่มหาซื้อได้ตามกองหนังสือมือสองลดราคาก็มี  การแปลงเป็น E-Book ในฟอร์แมต .pdf ไม่ต้องติดตั้ง โปรแกรมเสริมใดๆ ขอแค่เครื่องคอมพิวเตอร์คุณมีโปรแกรม อ่านไฟล์ .pdf ก็กด Save as เลือกฟอร์แมตสาหรับ E- Book ของคุณจากโปรแกรมMS Word ได้เลย แล้วถามว่าจะจัดหน้าสวยๆ เหมือนหนังสือทายังไง ผมตอบไว้ตรง นี้เลยว่า ด้วยการที่เราเป็น E-Book Self-Publishing นี่ แหละ ผมจึงไม่ลงทุนในการจัดรูปเล่มให้เป็นเหมือนหนังสือ หากจะ จ้างคนมาทาการจัดหน้า ทาหน้าปกสวยๆ งานนี้มีขึ้นต่า 6หลัก
นะครับ สาหรับการจัดหน้า ดังนั้นเนื้อหาใน E-Book ต่างหาก ที่จะเป็นจุดขายของเรา ผมเน้นความง่ายในการอ่าน จัดหน้าให้ เป็นระบบ สวยงาม อ่านง่าย อาจจะมีลูกเล่นบ้าง เล็กน้อย ที่ Footer ก็ลองเล่น ลองจัดกันดูครับ ไม่ยากๆ ผมโปรโมท EBook อย่างไร? จะให้ผมบอกจริงเหรอว่าผมโปรโมท E-book ยังไง? (ฮา) E-Book ก็เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง หากสินค้าดี ย่อมมีคนซื้อแถม ยังแนะนาให้เพื่อนๆอีก โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินโปรโมทแม้แต่บาท เดียวเลย แถมยังได้เงินเพิ่มอีก นี่ไม่ใช่ทฤษฏีเพ้อฝันแต่อย่างใด มัน
เกิดขึ้นกับผมมาแล้ว หลายๆท่านที่มีรายได้มากกว่านี้ (รายได้จาก การขาย E-Book ของผมรวมกัน ยังไม่เท่า รายได้ 1วันของ บางคนด้วยซ้าไป) เป็นเงินน้อยมาก แต่สาหรับคนธรรมดาคน หนึ่ง ทางานประจาเงินได้มามากกว่า 100,000บาทนี้ ถือว่ามาก โขเลยทีเดียว การทาให้ E-Book ของคุณขายได้ ขายดีนั้น เริ่มต้นคุณต้อง เลือกก่อนว่าลูกค้าคุณคือใคร คุณต้องการให้เนื้อหาไปถึงผู้อ่าน แบบไหน อาชีพอะไร มีไลฟสไตล์แบบไหน เพราะนั้นจะเป็น ตัวกาหนดราคา E-Book และเนื้อหาในนั้นด้วย เมื่อมี องค์ประกอบแบบนี้แล้ว การโปรโมทด้วยงบประมาณจากัด (เพื่อ หวังกาไรสูง) ต้องอาศัยในเรื่องของ Content Marketing เข้า มาช่วย ผ่าน Blog Post บทความที่ดึงคนเข้ามาที่ Blog จากนั้นก็ดึงเข้าไปที่หน้าขาย E-Book หลายอย่างประกอบกัน ด้วย วิธีที่ผมใช่ไม่ได้ยึดติดวิธีใดวิธีหนึ่ง  Blog Post (Free)  Social Marketing (Free)  Signature Webboard (Free)  Facebook Ads $530 (ประมาณ 16,960บาท)  Google Ads Words 1,500บาท
 Private Ads (ซื้อพื้นที่ เพื่อติดป้ายโฆษณาบน เว็บไซต์) 3,200บาท  Affiliate Marketing (รับสมาชิกช่วยโปรโมท E- Book)  Email Marketing $30 (ประมาณ 960บาท) รวมแล้ว ค่าโฆษณาทั้งมด 22,620 บาท นั่นคือการโปรโมท เพื่อประชามสัมพันธ์เพื่อขาย E-Book ทั้ง 2เล่มของผม มีทั้งฟรี และเสียเงิน นั่นคือต้นทุนที่คุณต้องจ่าย ถามว่าไม่มีเงินลงโฆษณาทาได้ไหม ตอบเลยว่า มันคือช่องทางหนึ่ง เท่านั้นครับ หากคุณไม่มีเงินสาหรับค่าโฆษณา (จริงๆผมก็ไม่มีเงิน หรอกนะ ผมเอาเงินจากการขาย E-Book นั่นแหละมาลง โฆษณาต่อยอดอีกที่ ) คุณก็สามารถใช้ช่องทางฟรีนี่แหละโปรโมท ได้เลย ไม่จาเป็นต้องเสียเงินแต่อย่างใด ผมเขียนวิธีโปรโมทเนื้อหา E-book เอาไว้อย่างละเอียดใน Ebook : Rich online with Writing
คาแนะนาสาหรับคนอยากเขียน E-Book ผมว่าหากคุณต้องการเขียน E-Book ขาย เครื่องไม้ เครื่องมือ หรือแม้แต่วิธีการเขียนนั้น ไม่สาคัญเลย หากคุณใจไม่ถึงพอ ไม่มี ความกล้าพอ ใจเสาะ หรือกลัว ที่จะขายความรู้ของคุณ เพราะ ความรู้ขายได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือความรู้พื้นๆทั่วไป ที่คุณคิดว่าไม่น่าจะมีคนซื้อความรู้นั้นๆ หรอก หากคุณคิดได้แบบ นี้คุณก็ไม่สามารถเขียน E-Book ได้หรอก ผมพูดเลย บางคนมัวไปกังวลเหลือเกินกับเครื่องมือ โปรแกรมในการเขียนใช้ อะไรดี จะขายให้ใคร จะโปรโมทยังไง (ผมบอกวิธีโปรโมทไปแล้ว) จะขายได้ไหม ทุกความกังวลใจของคุณนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วย การลงมือทา ลงมือเขียน ลงมือโปรโมท ขาย E-Book จริงๆจังๆเสียที การเผยแพร่ผลงานเขียนผ่าน E-Book นั้นสามารถทาประโยชน์ ได้มากมาย กว่าขายแล้วได้เงินเสียอีก E-Book ฟรี ของผม มี คนโหลดเอาไปอ่านและทาตามวิธีที่ผมแนะนาไป จากที่ไม่รายได้ อะไรเลย กลับสร้างรายได้ที่ดี และเจือจุนครอบครัวของเขาได้ เมื่อทาได้เขาเอามาบอกผมว่า เขาทาตามที่คุณเขียนใน E-Book แจกฟรี แล้วได้เงินมาเท่านั้น เท่านี้ แม้จะไม่มากมายอะไร แต่ผม รู้สึกว่า ความรู้ที่เราแบ่งปันผ่าน E-Book ไปนั้น สามารถเอาไป
ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ นั่นคืออีกหนึ่งคุณค่าของ E-Book ที่คุณ สามารถทาได้ 
มุมมอง E-Book ไทย ในสายตาของผม ผมว่าหลายคนกังวลเกี่ยวกับการก้อปปี้ E-Book หรือนาไป แจกจ่ายให้กันอ่านตามเว็บบิท หรือตามกลุ่มลับต่างๆมากเกินไป จนไม่กล้าที่จะลงมือทาอะไรเลย โดยส่วนตัวผมแล้ว คนที่จ้องจะ ก้อปหรือลอก เขาไม่มีทางที่จะเป็นลูกค้าของคุณได้หรอก ต่อให้ ยากแค่ไหนเขาก็จะทา เขาก็จะก้อป แต่สาหรับคนที่แฟนๆของคุณ ที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของคุณ สร้าง Authority ให้กับ ตัวคุณ และแบรนด์ของคุณ
คนเหล่านี้ที่ติดตามคุณนี่แหละ จะเป็นลูกค้าชั้นดี นอกจากซื้อ E-Book ของคุณแล้ว ยังช่วยโปรโมทให้คุณอีกด้วย ** บรรยายในงานสัมมนา Ebook self-publishing รุ่น 2 อนาคต E-Book ไทย หากจะหวังพึ่งพิงสานักพิมพ์เพียงอย่าง เดียวก็คงจะเป็นไปได้ยากครับ และอาจจะใช้เวลาหลายปี กว่าที่ วงการนี้จะเติบโต และมีคนนิยมอ่าน ซื้อ E-Book มากขึ้น แต่ หากคุณเริ่มต้นที่จะเป็น E-book Self-Publishing หรือการ เขียน และเผยแพร่ผลงานเขียนด้วยตัวคุณเอง ให้กับคนที่ติดตาม คุณได้สนับสนุนผลงานของคุณ นั่นแหละวงการ E-Book ไทย จึงจะพัฒนาไปได้
สานักพิมพ์ยังคงชักเข้า ชักออก กับ E-Book อยู่ในตอนนี้ ยัง ไม่กล้าลงมาทุ่มลงทุนอย่างเต็มตัว เพราะค่าใช้จ่ายสาหรับทา E- Book ซักเล่มหนึ่งสาหรับสานักพิมพ์นั้น ก็ประหยัดได้ก็แค่ ไม่ ต้องพิมพ์เป็นกระดาษ ไม่ต้องเปลืองหมึก ไม่ต้องเปลืองค่าขนส่ง แต่ค่าใช้จ่ายอื่นก็ยังมีอยู่นะครับอย่าลืม บรรณาธิการ พิสูจน์ อักษร ศิลปกรรม ฯลฯ ค่าใช้จ่ายพวกนี้ ยังเป็นต้นทุนอยู่ ลดลง ก็ไม่มาก แต่กาลังการบริโภคในบ้านเรายังน้อยอยู่ แต่สาหรับ E-Book Self-Publishing คุณคือบรรณาธิการ พิสูจน์ อักษร ศิลปกรรม การตลาด บริการลูกค้า ฯลฯ ค่าใช้จ่ายพวก นี้จ่ายกลับมาเป็นกาไรให้กับนักเขียนโดยตรง โดยไม่ต้องแบ่งให้กับ ใคร ได้เวลาที่คุณจะเริ่มเขียน E-Book กันหรือยังครับ ?? *ผู้เข้าร่วมสัมมนา Ebook Self-Publishing เขียนเอง ขาย เอง ไม่ต้องรอสานักพิมพ์ ครั้งที่ 1 
เครดิต: http://www.ewritor.com/ebook-report.php

Contenu connexe

Similaire à แชร์ประสบการณ์ขาย Ebook ไทย 1แสนบาท ทำได้จริง

Unique content
Unique contentUnique content
Unique contentbellwork
 
Is บทที่1
Is บทที่1Is บทที่1
Is บทที่1SLBwolf CH
 
Ebook เทรด binary option
Ebook เทรด binary optionEbook เทรด binary option
Ebook เทรด binary optionNarudol Pechsook
 
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่น
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่นกลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่น
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่นSilpakorn University
 
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-book
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-bookเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-book
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-bookPeerada Hemmun
 

Similaire à แชร์ประสบการณ์ขาย Ebook ไทย 1แสนบาท ทำได้จริง (6)

Unique content
Unique contentUnique content
Unique content
 
Appreciative Inquiry (Book Review)
Appreciative Inquiry (Book Review)Appreciative Inquiry (Book Review)
Appreciative Inquiry (Book Review)
 
Is บทที่1
Is บทที่1Is บทที่1
Is บทที่1
 
Ebook เทรด binary option
Ebook เทรด binary optionEbook เทรด binary option
Ebook เทรด binary option
 
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่น
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่นกลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่น
กลยุทธ์การส่งเสริมการอ่านสำกรับวัยรุ่น
 
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-book
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-bookเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-book
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียระหว่างหนังสือทั่วไปกับ E-book
 

แชร์ประสบการณ์ขาย Ebook ไทย 1แสนบาท ทำได้จริง

  • 1. แชร์ประสบการณ์ ขาย E-book ไทย 100,000บาท ทาได้ จริง! ผมหวังให้บทความนี้จะสามารถช่วยให้คนที่ตั้งใจอยากเขียน หนังสือ หรืออยากขาย E-book ได้มองเห็นช่องทาง แนวคิด แนวทาง และกาลังใจในการทางานได้อย่างชัดเจน ว่าอนาคตของ E-book ไทย กาลังจะเติบโต และสดใสอย่างแน่นอน หลายคน กลัวที่จะเริ่มต้น มันไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณกลัว ผมเองก็กลัว เช่นเดียวกันในตอนที่เริ่มต้น แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการลงมือทา อย่างจริงจัง!
  • 2. สรุปยอดขายรวมทั้งสิ้น E-Book ที่ผมขายนั่นมี 2เล่มด้วยครับ Make Money from Thai Affiliate กับ Rich Online with Writing ทั้งหมดคือ ยอดขายตั้งแต่เปิดขายเดือน กุมภาพันธ์ –มิถุนายน 2557 รวม 4เดือน ยอดขายทั้งหมด 107,578 บาท  Make Money from Thai Affiliate 66,880 บาท  Rich Online with Writing 40,698 บาท ต้นทุน  ค่าจดโดเมน $7.99 (ประมาณ 250 บาท)  ค่าเช้าโฮ้สติ้ง $0 (ใช้โฮ้สนอกรวมกับเว็บอื่นๆ)  ค่าธีม WordPress ซื้อจาก Themeforrest.com $59 (ประมาณ 1,888 บาท)  ค่าโฆษณา 22,620 บาท  ค่าจ้างทาป้าย Banner 600 บาท  รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 25,358 บาท หักต้นทุน กาไรสุทธิ 82,220 บาท
  • 3. สถิติที่น่าสนใจ นั่นคือยอดขาย E-Book ของผม ถือว่ามีกาไรโดยไม่หักค่าแรง ในการเขียนเท่ากับ 82,220บาท เป็นกาไรกว่า 3เท่า ของต้นทุน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ลุกค้าของผม ทั้งหมด  จ่ายเงินผ่าน PayPal 57%  โอนผ่านธนาคาร 28%  และชาระเงินผ่านบัตรเครดิตอีกประมาณ 10% ไม่อาจบ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของคนไทยในอินเตอร์เน็ตได้ แต่อยากให้มองเห็นภาพกว้างว่า เมื่อสินค้าเป็น Digital Product การใช้จ่ายโอนเงินผ่านธนาคารออนไลน์ (PayPal) และบัตรเครดิตก็สามารถทาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จ่ายเงินเสร็จ ดาวน์โหลดไฟล์ได้ทันที สะดวก สบายทั้งผู้ขาย และผู้ซื้อ
  • 4. แรงบันดาลใจในการเขียน E-Book ขาย ผมเองเป็นคนธรรมดา เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคุณนั่นแหละ ไม่ได้มีความรู้ระดับด็อกเตอร์อะไรเลย เป็นพนักงานระดับ ปฏิบัติการ (หมายถึงเอาแรงทางานา แลกเงิน) บางคนเข้าใจผิดว่า การเขียนบทความ การเขียนหนังสือ หรือเผยแพร่บทความต่างๆ นั้น ต้องมีเรียนจบสูง ทางานในตาแหน่งดีๆ เงินเดือนมากๆ หรือ เป็นข้าราชการ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณกาลังคิดว่าเหมาะสม สาหรับการมีผลงานเขียนเผยแพร่สู่สาธารณะ คุณอั้มจากบล็อก Asuradech.com เคยบอกผมว่า ความรู้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น แบ่งออกเป็น 3ระดับ คือ กูไม่รู้ >> กูรู >> กูรูขั้นเทพ คุณไม่จาเป็นต้องมีความรู้จนถึงขั้นกูรูขั้นเทพหรอก จึงจะเขียน E-Book ได้ คุณแค่เขียนความรู้ที่คุณรู้อย่างแท้จริง และมีความ เชี่ยวชาญ สามารถนาไปใช้งานได้จริงให้สาหรับคนที่เป็น “กูไม่รู้” ซึ่งมีมากมาย และความรู้เหล่านี้แหละที่มือใหม่ทั้งหลายต้องการ ผมคงต้องสารภาพตามตรงว่าแรงบันดาลให้เริ่มต้นเขียน E- Book เพื่อขายความรู้นั้น มาจากการอ่าน E-Book เรื่อง “The Freedom Hacker” โดย พอล The CEO Blogger ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับทางานอย่างไรให้มีอิสระ และสร้าง รายได้ที่ดีได้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเป็น Blogger และการเขียน
  • 5. E-Book อยู่บ้าง และนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากทาบ้าง แต่ยังไม่รู้ เหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี จนมาได้อ่านผลงานอีกเล่มของคุณพอล “How to Become an eBook Self Publisher” ที่มีเนื้อหาสาหรับการเป็นนัดเขียน E-Book เพื่อจาหน่ายได้ด้วยตนเองเล่มนี้แหละที่เปิดกะโหลกผม เลย หลังจากอ่านเสร็จ ผมลงมือร่างและเขียน E-Book เล่ม แรกของผมทันที นั่นคือ “ทาเงินออนไลน์ได้จริงจากไทย Affiliate” และไม่นาน ผลงานเล่มนี้ก็วางจาหน่ายบนเว็บไซต์ที่เปิด มาเพื่อขาย E-Book เล่มนี้โดยเฉพาะเลย ผมแปลกใจไม่น้อยว่าทาไมเมืองไทย ไม่มีคนเขียนหนังสือ หรือ E- Book สอนเขียน E-Book ออกมาขายตั้งนานแล้ว เพราะใน ต่างประเทศนั้นมีหนังสือแนวนี้เยอะมาก รวมถึง E-Book ก็มี จาหน่ายเยอะด้วย อาจจะเป็นเพราะค่านิยม เครื่องมือในการอ่าน E-Book ของคนไทยยังน้อยอยู่รึเปล่า คนไทยก็เลยไม่สนใจอย่าง จริงจัง และยังไม่เห็นประโยชน์ของ E-Book ว่า เนื้อหา บางอย่าง ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเล่มที่วางขายได้ทั่วไป
  • 6. ผมเริ่มต้นเขียน E-Book ด้วยความไม่พร้อม หลังจากอ่านอีบุ๊คที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเป็นนักเขียนE-Book ทาให้ผมอยากเขียนขึ้นมาทันที ทันใด แต่ความไม่พร้อมของผม ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด ความกังวลใจว่าจะเขียนได้ไหม จะเขียน อะไร แล้วถ้าเขียนเสร็จจะขายให้ใคร จะมีคนซื้อไหม เป็นสิ่งที่ผม คิดวนเวียนอยู่ในใจหลายวัน และยังไม่ลงมือเขียนซะที จุดเปลี่ยนของผมก็คือการนึกทบทวน ถึงความเป็นอิสระจากงาน ที่ไม่ได้ชอบมากมายนัก ที่ทาอยู่ก็เพราะมันจาเป็น บรรยากาศที่ ทางานก็ไม่ค่อยดี การต้องตื่นไปทางานที่เราไม่ชอบทุกๆเช้า เบียดเสียดผู้คนมากมายบนรถไฟฟ้า เป็นความรู้สึกที่ยากจะ บรรยาย คุณหลายคนก็คงเป็น “อาการเบื่องานประจา” “คุณไม่มีทางได้สิ่งใหม่ จากการทาสิ่งเดิม” (คาพูดใครจาไม่ได้แล้ว แต่ประมาณนี้) ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนไปทา สิ่งใหม่ เพื่อที่จะได้รับสิ่งใหม่ๆ กลับมา ลองคิดเล่นๆว่า หากไม่มี คนซื้อจริงๆ อย่างน้อยเราก็ได้ทาเต็มที่แล้ว อย่างน้อยเราได้ลอง ทาสิ่งใหม่แล้ว แม้อาจจะไม่ได้ผลตอบรับที่ดี แต่นั้นหมายถึงเราได้ พยายามแล้วจริงๆ ลงมือทาทันที หลังจากที่คิดได้
  • 7. แนวคิดที่ผมคิดได้ในการเขียน E-Book ตอนนั้นคือ “ถ้าไม่ได้เป็น คนแรก ก็ขอให้เป็นคนที่ดีที่สุด” ซึ่งในตอนนั้น ไม่มีใครอยากทา Affiliate ไทย เพราะทาแล้วไม่รู้จะโดนเบี้ยวหรือเปล่า ร้านค้าไม่มี ความน่าเชื่อถือเท่าไหร่ มีความยุ่งยากซับซ้อนในการเบิกจ่ายเงิน ค่าคอมฯ ทาให้หลายคนค่อนแคะ Affiliate ไทย ว่าเป็นไปไม่ได้ ทาไม่ได้แน่นอน แต่สาหรับผมแล้ว ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้น ผมคิดว่า แค่ว่าประเทศไทย มีการหารายได้จากอินเตอร์เน็ตด้วยการเป็น นายหน้าออนไลน์ (Affiliate) แล้วทาไมเราจะไม่ทา มันง่ายกว่า ทา Affiliate ต่างประเทศเยอะเลยนะ อย่างแรกเลยคือภาษาที่ใช้ เป็นภาษาไทย โอ้วว ไม่ทาไม่ได้แล้ว ผมทดลองทาอยู่หลายเดือนกว่าจะได้ค่าคอมฯงวดแรก และเป็นไป ตามที่หลายคนพูดไว้เลยแหละ การเบิกจ่ายเงินค่อนข้างยุ่งยาก และล่าช้ากว่ากาหนดจริง แต่นั่นก็การันตีได้อย่างหนึ่งว่า “Affiliate ไทยจ่ายจริง” ดังนั้น ผมจึงทาต่อไป และได้รับค่าคอม ฯมาพอสมควร ความรู้ที่ได้มาจาก Affiliate ต่างประเทศที่ผม เคยทามานั่นแหละ ทั้ง Amazon, Viglink, Prosperent และ อีกหลายเจ้า แค่นามาปรับปรุงให้เข้าบ้านเราเท่านั้นเอง เมื่อ ประสบผลลัพธ์ที่น่าพอใจ การเขียนบทความใน E-Book ก็ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟังว่า จะทาอย่างไรให้ได้เงินจาก Affiliate อย่างยั่งยืน นั่นคือ Key Concept สาหรับ E-Book ของผม คุณลองนึกซิว่า คุณเล่าเรื่องอะไรซักเรื่องให้เพื่อนฟัง เรื่องที่คุณไป ทามา ไปเจอมาด้วยตัวเอง คุณแทบไม่ต้องเรียนรู้ วิธีการเล่าเรื่อง
  • 8. จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดๆเลย คุณสามารถเล่าเรื่องนั้นได้ เลยทันที รายละเอียดทุกอย่าง ที่มี ที่ไป ข้อดี ข้อเสีย ทาแบบนั้น ไม่ดี ทาแบบนี้ได้ผลดีกว่า ขายได้เยอะกว่า จะเล่ากลางเรื่อง หรือ ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น คุณก็ทาได้อย่างลื่นไหล โดยไม่มีติดขัด เขียน E-Book มันไม่ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ(ฮา) คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณสามารถ หรือชอบที่จะทาอะไรได้ดี นอก จาต้องลงมือทาเสียก่อน ผลตอบรับก็อย่างที่เห็นตามรายงาน จากด้านบนนะครับ ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดี สาหรับผมนะ โปรดรับข้าน้อยเป็นศิษย์ด้วยเถิด.. ผมนึกถึงฉากพระเอกหนังจีนกาลังภายใน ที่ต้องขึ้นเขาไปฝึกวิชา กว่าจะขึ้นได้ก็ใช้เวลานานโข ไหนจะไปขอร้องอาจารย์ให้รับเป็น ศิษย์ ต้องคุกเข่าอยู่หน้าสานัก ตากแดด ตากฝน อยู่หลายวัน เมื่ออาจารย์เห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง จึงยอมรับเป็นศิษย์เพื่อร่า เรียนวิชา มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่าสมัยนี้เราไม่ได้ลาบากขนาด นั้น เพื่อที่จะรู้วิชา ความรู้ใดๆ หากโรงเรียนไม่มีสอน ก็มีคนที่เป็น มืออาชีพด้านนั้นๆออกมาสอนมากมาย เขียนหนังสือให้ความรู้ เรื่องที่คุณอยากรู้ มีสัมมนาสอนอยู่เป็นระยะๆ ความรู้ทุกวันนี้ มันได้มาง่ายกว่าหนังจีนกาลังภายในเยอะครับ
  • 9.
  • 10. แต่ผมเองก็ยังสงสัยสาหรับบางคนที่บอกว่าไม่รู้ ไม่เชียวชาญ ทา เงินได้น้อย หรือไม่ประสบความสาเร็จ เปรียบเทียบให้เห็นเหมือน ในหนังจีนกาลังภายใน อาจารย์แต่ละคนนั้นมีลูกศิษย์หลายคน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เป็นศิษย์เอกหรอกนะครับ มีเฉพาะบางคน เท่านั้นที่เป็นคนที่นาวิชา ความรู้นั้นไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ และเห็น ผลอย่างชัดเจน ทั้งๆที่อาจารย์ก็สอนเรื่องเดียวกัน เหมือนกันทุก คน ความรู้มีอยู่มากมายกว่าแต่ก่อนเยอะครับ อยู่ที่คุณแหละว่า พร้อมจะยอมลงทุนไหม ไม่ต้องลงทุนปีนเขาไปเรียน ไม่ต้อง นั่งคุกเข่าหน้าสานัก แค่เดินไปร้านหนังสือ ซื้อหนังสือราคาไม่กี่ ร้อยบาทมาอ่าน ไปเข้าคอร์สสัมมนาราคาไม่กี่พันบาท คุณจะ ได้รับความรู้นั้นมาเต็มๆ นาไปใช้งานได้จริงๆ ไม่ต้องนอนให้หนอน แดกแล้วครับคราวนี้ มีความรู้จากมืออาชีพมาสอนคุณ คุณนาไป ปฏิบัติจริง เป็นผลจริง วัดผล และปรับประยุกต์ให้เข้ากับตัวคุณ ความสาเร็จอยู่แค่เอื้อม “การลงทุนกับการศึกษาเป็นหารลงทุนที่ คุ้มค่าเสมอ” ต้องมีบอกเลยว่านอกจาก E-Book ของคุณพอลที่ผมอ่านแล้ว นั้น ในเมืองไทยไม่มีใครเขียนบทความ เขียนหนังสือ หรือเขียน E-Book เล่มอื่นๆเลย ดังนั้นเมื่อต้องการที่จะทามันอย่างจริง ผมก็เริ่มเรียนรู้จากฝรั่งเมืองนอกแล้วครับ บอกตามตรง ภาษาอังกฤษผมไม่กระดิกเอาเสียเลย แต่เมื่อผมต้องการที่รู้ เพื่อ
  • 11. นามาลงมือทางาน เพื่อทาเงิน ดังนั้น เมื่อไม่รู้ ก็ต้องเรียนให้มันรู้ ผมเริ่มเข้าไปอ่านบทความจากบล็อกเกอร์จากต่างประเทศ ซื้อ E-Book ภาษาอังกฤษ (ทั้งๆที่อ่อนภาษาก็ยังซื้อ อย่างน้อย ซื้อ มาดูรูปเอา) เมื่อความรู้เป็นเรื่องสาคัญอันดับหนึ่งในการลงมือทาอะไรซักอย่าง ดังนั้นไม่ว่าจะยากลาบาก (ที่จริงก็ไม่ลาบากมากนะ) ผมจะให้ ความสาคัญ และลงทุนกับเรื่องนี้ก่อน เมื่อเรารู้แล้ว ความรู้ พื้นฐานนั้นสามารถปรับประยุกต์ ต่อยอดได้มากมายเลยครับ จริงๆ เครื่องมือที่ผมใช้ในการเขียน E-Book มาว่ากันในเรื่องเครื่องมือการสร้างและเขียน E-Book กันนะ หลายคนอยากรู้แล้วว่า อยากเขียน E-Book ต้องใช้โปรแรกม อะไรในการเขียน เอาตอบแบบสั้นเลยนะ ใช้ Microsoft Word เขียนเสร็จแล้ว กด F12 Save as เป็นนามสกลุ .pdf แค่นี้ แหละ หลายๆคนพยายามเค้นเอาความลับจากผมโดยการส่งข้อความมา ถามใน Facebook ว่าใช้โปรแกรมอะไรในการเขียน E-Book
  • 12. พอบอกว่าใช้ MS Word ก็ไม่เชื่ออีก หาว่าทาได้ขนาดนี้เลยเหรอ E-Book ของคุณวัชระ ใช้แค่ MS Word เนี๊ยะนะ ครับ ทาได้ขนาดนี้แหละครับ – -’ เหตุที่ผมใช้โปรแกรม MS Word ในการเขียน E-Book ก็เพราะ  เป็นโปรแกรมพื้นฐานในเครื่องคอมพิวเตอร์น่าจะมีกันทุกเครื่อง สาหรับ OS Windows  ใช้งานง่าย หากคุณทางาน Office คุณถามการใช้งาน โปรแกรมนี้ได้จากเพื่อนที่ทางานเลยครับ เป็นโปรแกรมพื้นฐาน สาหรับสานักงาน  หนังสือสอนใช้งานมีเยอะ บางเล่มราคาถูกมากๆยิ่งเป็นเวอร์ ชั่นเก่า ยิ่งถูกไปใหญ่ ที่จริงหากจะซื้อคู่มือแกรม MS Word เลือกที่เป็นรุ่นเก่าๆก็ได้ เพราะเราใช้แค่เครื่องมือพื้นฐานเท่านั้น บางเล่มหาซื้อได้ตามกองหนังสือมือสองลดราคาก็มี  การแปลงเป็น E-Book ในฟอร์แมต .pdf ไม่ต้องติดตั้ง โปรแกรมเสริมใดๆ ขอแค่เครื่องคอมพิวเตอร์คุณมีโปรแกรม อ่านไฟล์ .pdf ก็กด Save as เลือกฟอร์แมตสาหรับ E- Book ของคุณจากโปรแกรมMS Word ได้เลย แล้วถามว่าจะจัดหน้าสวยๆ เหมือนหนังสือทายังไง ผมตอบไว้ตรง นี้เลยว่า ด้วยการที่เราเป็น E-Book Self-Publishing นี่ แหละ ผมจึงไม่ลงทุนในการจัดรูปเล่มให้เป็นเหมือนหนังสือ หากจะ จ้างคนมาทาการจัดหน้า ทาหน้าปกสวยๆ งานนี้มีขึ้นต่า 6หลัก
  • 13. นะครับ สาหรับการจัดหน้า ดังนั้นเนื้อหาใน E-Book ต่างหาก ที่จะเป็นจุดขายของเรา ผมเน้นความง่ายในการอ่าน จัดหน้าให้ เป็นระบบ สวยงาม อ่านง่าย อาจจะมีลูกเล่นบ้าง เล็กน้อย ที่ Footer ก็ลองเล่น ลองจัดกันดูครับ ไม่ยากๆ ผมโปรโมท EBook อย่างไร? จะให้ผมบอกจริงเหรอว่าผมโปรโมท E-book ยังไง? (ฮา) E-Book ก็เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง หากสินค้าดี ย่อมมีคนซื้อแถม ยังแนะนาให้เพื่อนๆอีก โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินโปรโมทแม้แต่บาท เดียวเลย แถมยังได้เงินเพิ่มอีก นี่ไม่ใช่ทฤษฏีเพ้อฝันแต่อย่างใด มัน
  • 14. เกิดขึ้นกับผมมาแล้ว หลายๆท่านที่มีรายได้มากกว่านี้ (รายได้จาก การขาย E-Book ของผมรวมกัน ยังไม่เท่า รายได้ 1วันของ บางคนด้วยซ้าไป) เป็นเงินน้อยมาก แต่สาหรับคนธรรมดาคน หนึ่ง ทางานประจาเงินได้มามากกว่า 100,000บาทนี้ ถือว่ามาก โขเลยทีเดียว การทาให้ E-Book ของคุณขายได้ ขายดีนั้น เริ่มต้นคุณต้อง เลือกก่อนว่าลูกค้าคุณคือใคร คุณต้องการให้เนื้อหาไปถึงผู้อ่าน แบบไหน อาชีพอะไร มีไลฟสไตล์แบบไหน เพราะนั้นจะเป็น ตัวกาหนดราคา E-Book และเนื้อหาในนั้นด้วย เมื่อมี องค์ประกอบแบบนี้แล้ว การโปรโมทด้วยงบประมาณจากัด (เพื่อ หวังกาไรสูง) ต้องอาศัยในเรื่องของ Content Marketing เข้า มาช่วย ผ่าน Blog Post บทความที่ดึงคนเข้ามาที่ Blog จากนั้นก็ดึงเข้าไปที่หน้าขาย E-Book หลายอย่างประกอบกัน ด้วย วิธีที่ผมใช่ไม่ได้ยึดติดวิธีใดวิธีหนึ่ง  Blog Post (Free)  Social Marketing (Free)  Signature Webboard (Free)  Facebook Ads $530 (ประมาณ 16,960บาท)  Google Ads Words 1,500บาท
  • 15.  Private Ads (ซื้อพื้นที่ เพื่อติดป้ายโฆษณาบน เว็บไซต์) 3,200บาท  Affiliate Marketing (รับสมาชิกช่วยโปรโมท E- Book)  Email Marketing $30 (ประมาณ 960บาท) รวมแล้ว ค่าโฆษณาทั้งมด 22,620 บาท นั่นคือการโปรโมท เพื่อประชามสัมพันธ์เพื่อขาย E-Book ทั้ง 2เล่มของผม มีทั้งฟรี และเสียเงิน นั่นคือต้นทุนที่คุณต้องจ่าย ถามว่าไม่มีเงินลงโฆษณาทาได้ไหม ตอบเลยว่า มันคือช่องทางหนึ่ง เท่านั้นครับ หากคุณไม่มีเงินสาหรับค่าโฆษณา (จริงๆผมก็ไม่มีเงิน หรอกนะ ผมเอาเงินจากการขาย E-Book นั่นแหละมาลง โฆษณาต่อยอดอีกที่ ) คุณก็สามารถใช้ช่องทางฟรีนี่แหละโปรโมท ได้เลย ไม่จาเป็นต้องเสียเงินแต่อย่างใด ผมเขียนวิธีโปรโมทเนื้อหา E-book เอาไว้อย่างละเอียดใน Ebook : Rich online with Writing
  • 16. คาแนะนาสาหรับคนอยากเขียน E-Book ผมว่าหากคุณต้องการเขียน E-Book ขาย เครื่องไม้ เครื่องมือ หรือแม้แต่วิธีการเขียนนั้น ไม่สาคัญเลย หากคุณใจไม่ถึงพอ ไม่มี ความกล้าพอ ใจเสาะ หรือกลัว ที่จะขายความรู้ของคุณ เพราะ ความรู้ขายได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือความรู้พื้นๆทั่วไป ที่คุณคิดว่าไม่น่าจะมีคนซื้อความรู้นั้นๆ หรอก หากคุณคิดได้แบบ นี้คุณก็ไม่สามารถเขียน E-Book ได้หรอก ผมพูดเลย บางคนมัวไปกังวลเหลือเกินกับเครื่องมือ โปรแกรมในการเขียนใช้ อะไรดี จะขายให้ใคร จะโปรโมทยังไง (ผมบอกวิธีโปรโมทไปแล้ว) จะขายได้ไหม ทุกความกังวลใจของคุณนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วย การลงมือทา ลงมือเขียน ลงมือโปรโมท ขาย E-Book จริงๆจังๆเสียที การเผยแพร่ผลงานเขียนผ่าน E-Book นั้นสามารถทาประโยชน์ ได้มากมาย กว่าขายแล้วได้เงินเสียอีก E-Book ฟรี ของผม มี คนโหลดเอาไปอ่านและทาตามวิธีที่ผมแนะนาไป จากที่ไม่รายได้ อะไรเลย กลับสร้างรายได้ที่ดี และเจือจุนครอบครัวของเขาได้ เมื่อทาได้เขาเอามาบอกผมว่า เขาทาตามที่คุณเขียนใน E-Book แจกฟรี แล้วได้เงินมาเท่านั้น เท่านี้ แม้จะไม่มากมายอะไร แต่ผม รู้สึกว่า ความรู้ที่เราแบ่งปันผ่าน E-Book ไปนั้น สามารถเอาไป
  • 17. ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ นั่นคืออีกหนึ่งคุณค่าของ E-Book ที่คุณ สามารถทาได้ มุมมอง E-Book ไทย ในสายตาของผม ผมว่าหลายคนกังวลเกี่ยวกับการก้อปปี้ E-Book หรือนาไป แจกจ่ายให้กันอ่านตามเว็บบิท หรือตามกลุ่มลับต่างๆมากเกินไป จนไม่กล้าที่จะลงมือทาอะไรเลย โดยส่วนตัวผมแล้ว คนที่จ้องจะ ก้อปหรือลอก เขาไม่มีทางที่จะเป็นลูกค้าของคุณได้หรอก ต่อให้ ยากแค่ไหนเขาก็จะทา เขาก็จะก้อป แต่สาหรับคนที่แฟนๆของคุณ ที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของคุณ สร้าง Authority ให้กับ ตัวคุณ และแบรนด์ของคุณ
  • 18. คนเหล่านี้ที่ติดตามคุณนี่แหละ จะเป็นลูกค้าชั้นดี นอกจากซื้อ E-Book ของคุณแล้ว ยังช่วยโปรโมทให้คุณอีกด้วย ** บรรยายในงานสัมมนา Ebook self-publishing รุ่น 2 อนาคต E-Book ไทย หากจะหวังพึ่งพิงสานักพิมพ์เพียงอย่าง เดียวก็คงจะเป็นไปได้ยากครับ และอาจจะใช้เวลาหลายปี กว่าที่ วงการนี้จะเติบโต และมีคนนิยมอ่าน ซื้อ E-Book มากขึ้น แต่ หากคุณเริ่มต้นที่จะเป็น E-book Self-Publishing หรือการ เขียน และเผยแพร่ผลงานเขียนด้วยตัวคุณเอง ให้กับคนที่ติดตาม คุณได้สนับสนุนผลงานของคุณ นั่นแหละวงการ E-Book ไทย จึงจะพัฒนาไปได้
  • 19. สานักพิมพ์ยังคงชักเข้า ชักออก กับ E-Book อยู่ในตอนนี้ ยัง ไม่กล้าลงมาทุ่มลงทุนอย่างเต็มตัว เพราะค่าใช้จ่ายสาหรับทา E- Book ซักเล่มหนึ่งสาหรับสานักพิมพ์นั้น ก็ประหยัดได้ก็แค่ ไม่ ต้องพิมพ์เป็นกระดาษ ไม่ต้องเปลืองหมึก ไม่ต้องเปลืองค่าขนส่ง แต่ค่าใช้จ่ายอื่นก็ยังมีอยู่นะครับอย่าลืม บรรณาธิการ พิสูจน์ อักษร ศิลปกรรม ฯลฯ ค่าใช้จ่ายพวกนี้ ยังเป็นต้นทุนอยู่ ลดลง ก็ไม่มาก แต่กาลังการบริโภคในบ้านเรายังน้อยอยู่ แต่สาหรับ E-Book Self-Publishing คุณคือบรรณาธิการ พิสูจน์ อักษร ศิลปกรรม การตลาด บริการลูกค้า ฯลฯ ค่าใช้จ่ายพวก นี้จ่ายกลับมาเป็นกาไรให้กับนักเขียนโดยตรง โดยไม่ต้องแบ่งให้กับ ใคร ได้เวลาที่คุณจะเริ่มเขียน E-Book กันหรือยังครับ ?? *ผู้เข้าร่วมสัมมนา Ebook Self-Publishing เขียนเอง ขาย เอง ไม่ต้องรอสานักพิมพ์ ครั้งที่ 1 เครดิต: http://www.ewritor.com/ebook-report.php